วานนี้ (14 มกราคม) เจียว ยาฮุย หัวหน้างานด้านการแพทย์ของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดสะสมในจีนสูงเกือบ 60,000 ราย (59,938 ราย) นับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2022 จนถึงวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
ในจำนวนนี้ 5,503 ราย เสียชีวิตจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเนื่องจากการติดเชื้อโควิด ขณะที่ผู้ป่วยโควิดอีก 54,435 รายที่เสียชีวิต ต่างมีภาวะแทรกซ้อนและโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น โดยก่อนหน้านี้ทางการจีนจะรายงานยอดผู้เสียชีวิตที่ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวจากการติดเชื้อโควิดเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจีน (CDC) รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโควิดเพียง 37 รายเท่านั้น ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แม้โรงพยาบาลและเตาเผาศพจะมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดเป็นจำนวนมากก็ตาม
ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) และทางการสหรัฐอเมริกาชี้ว่า ที่ผ่านมาทางการจีนรายงานยอดในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในจีนต่ำกว่าความเป็นจริง พร้อมเรียกร้องให้ทางการจีนแชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดทั้งในสังคมจีนและสังคมโลก
โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงจีนรายนี้ยังระบุอีกว่า ยอดผู้ป่วยที่เดินทางมาขอคำปรึกษาที่คลินิกทั่วประเทศจีนได้ก้าวผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว จากราว 2.86 ล้านราย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม มาอยู่ที่ราว 4.77 แสนราย เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มลดลง จาก 1.63 ล้านราย เมื่อวันที่ 5 มกราคม มาอยู่ที่ราว 1.27 ล้านราย เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจำนวนไม่น้อยต่างก็ยังคงตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของข้อมูลที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ทางการจีน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางการจีนแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อมูลที่สำคัญอย่างอัตราการติดเชื้อของประชากรทั่วไป อัตราการติดเชื้อของกลุ่มผู้สูงอายุ การเข้ารับการรักษาและพักฟื้นภายในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉินภายในจีน รวมถึงจำนวนยอดผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิตจากโควิดโดยตรงกับที่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ที่จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับการวางแผนรับมือโควิดในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะหลังจากที่จีนเปิดพรมแดนประเทศแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพ: Reuters
อ้างอิง: