“พอตเตอร์ เธออีกแล้วเหรอ!”
คราวนี้สุ้มเสียงของศาสตราจารย์มักกอนนากัลดูเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็ช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อผลงานของพอตเตอร์ที่ไม่ใช่พอตเตอร์ผู้โด่งดังคนนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย
ความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คาถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์ ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายอะไรนักในเมื่อคู่แข่งเป็นถึงแชมป์เก่าและเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุคสมัยที่พร้อมจะบุกมาเอาชนะใครก็ได้อยู่แล้ว แต่การที่เชลซีแพ้ในแบบที่เหมือนไม่ได้ลุกขึ้นสู้แม้แต่น้อยเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
“นี่คือเชลซีที่แฟนๆ ต้องการจะเห็นจริงๆ หรือ? พวกเขาได้พยายามแค่ไหนที่จะดีพอให้แฟนๆ ปรบมือให้? ในเมื่อตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เชลซีคือทีมที่กวาดแชมป์ใหญ่มานักต่อนัก” คริส ซัตตัน อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษที่เคยค้าแข้งกับเชลซีตั้งคำถามในระหว่างการวิเคราะห์เกมทาง BBC Sport
แน่นอนว่าคนที่เผชิญกับแรงกดดันมากที่สุดในเวลานี้คือ เกรแฮม พอตเตอร์ นายใหญ่แห่งเดอะบริดจ์คนปัจจุบัน
“ปลดพอตเตอร์ได้หรือยัง” คือเสียงที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่แฟนเชลซีในเวลานี้
ราฮีม สเตอร์ลิง เจ็บตั้งแต่ 5 นาทีแรกในการเจอทีมเก่า
สิงห์พิการ เห็นใจกันบ้างได้ไหม?
ความจริงพอตเตอร์เริ่มงานใหม่กับเชลซีได้ไม่เลวเลยทีเดียวเมื่อเก็บชัยชนะ 3 นัดรวด เรียกว่าควรจะเป็นช่วงเวลาของการกอบโกยความมั่นใจสำหรับตัวของเขาเองที่ตัดใจปล่อยมือจากไบรท์ตันแอนด์โฮฟอัลเบียน เพื่อมารับความท้าทายครั้งใหม่ที่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต
แต่การเริ่มต้นที่สวยงามกลับเป็นแค่ภาพลวงตา เมื่ออีก 8 นัดต่อมาเชลซีเก็บชัยชนะได้แค่เกมเดียว และชัยชนะนั้นก็เป็นการชนะเหนือทีมระดับท้ายตารางอย่างบอร์นมัธด้วย ทำให้สถานการณ์ของทีมจมอยู่ในอันดับที่ 10 ของตาราง ตามหลังโซนแชมเปียนส์ลีก 10 แต้ม และตามหลังทีมเล็กร่วมเวสต์ลอนดอนอย่างฟูแลมและเบรนท์ฟอร์ดด้วย
เรียกว่าทำใจลำบากจริงๆ
ส่วนหนึ่งที่เป็นชนวนไปสู่ช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นถูกมองว่าเกิดจากปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในทีมที่มีมากมาย โดยในเวลานี้รายชื่อผู้เล่นที่บาดเจ็บยาวเป็นหางว่าว ไล่ไปตั้งแต่คีย์แมนอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, เอดูอาร์ เมนดี้, อาร์มันโด โบรยา, เมสัน เมาท์, เบน ชิลเวลล์, รีซ เจมส์, เวสลีย์ โฟฟานา
โดยที่ในเกมล่าสุดได้เพิ่มชื่อของ ราฮีม สเตอร์ลิง และ คริสเตียน พูลิซิช เข้าไปอีกตั้งแต่ 22 นาทีแรกในเกม เรียกว่ารวมๆ แทบจะจัดทีมขึ้นได้ทีมหนึ่งเลยทีเดียว
ปัญหาตัวเจ็บมากขนาดนี้ ไม่ว่าทีมใหญ่แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็กระทบทั้งนั้นจริงไหม?
เกรแฮม พอตเตอร์ ถึงกับเหม่อในช่วงเวลาแบบนี้
ไม่ใช่แค่ความรักต้องการเวลา พอตเตอร์ก็ต้องการเวลาเหมือนกัน
แต่มองอีกด้านในเกมกับแมนฯ ซิตี้ พวกเขาก็ไม่ได้ถึงกับเล่นเลวร้ายอะไรนัก หากมีโชคมากกว่านี้ที่ลูกยิงของ คาร์นีย์ ชุควูเมกา ไม่ไปชนเสาในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก รวมถึง เกปา อาร์ริซาบาลากา ไม่ประมาทอย่างน่าเกลียด ปล่อยลูกเปิดของ แจ็ค กรีลิช ผ่านหน้าตัวเองไปเฉยๆ จนโดน ริยาด มาห์เรซ ยิง บางทีเชลซีอาจจะมีอย่างน้อย 1 ไปจนถึง 3 คะแนนในเกมนี้
ความกล้าตัดสินใจในการถอด ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง กองหน้าตัวเก๋าที่ลงไปแทนสเตอร์ลิงในนาทีที่ 5 ออกในช่วงครึ่งหลัง และให้โอกาส โอมาริ ฮัตชินสัน ไอ้หนูดาวรุ่งที่ดึงตัวมาจากอาร์เซนอลและยังไม่เคยลงสนามได้โอกาสลงมาช่วยทีมแทน ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่แฟนเชลซีเห็นแล้วพยักหน้าให้พอตเตอร์
อย่างไรก็ดี สำหรับแฟนสิงห์บลูส์จำนวนไม่น้อย พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีมคนนี้มาพักใหญ่แล้ว เพราะมองเห็นสัญญาณว่ากุนซือวัย 47 ปีคนนี้ยังดู ‘มือไม่ถึง’ สำหรับการคุมทีมใหญ่ โดยเฉพาะทีมใหญ่ในระดับเชลซีที่ไม่ใช่งานง่ายที่จะเข้ามาบริหาร
โคตรกุนซือนักต่อนักที่เอาชื่อมาทิ้งที่นี่ รวมถึง โชเซ มูรินโญ และคนล่าสุดที่ขนาดพาทีมเป็นแชมป์ยุโรปอย่าง โธมัส ทูเคิล
ก่อนหน้านี้นักเตะในทีมเองดูยัง ‘ไม่บาย’ วิธีการเล่นในแบบของพอตเตอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากความเป็นหนึ่งเดียวกันของทีมที่ยังน้อย และดูจะมีปัญหาใต้พรมที่ยังเก็บกวาดกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้ามองสัญญาณดีจากเกมนี้ก็อาจจะคิดได้ว่าพอจะมองเห็นแววอนาคตได้บ้าง
ในสถานการณ์แบบนี้แน่นอนว่าพอตเตอร์ต้องการเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเอง
แต่คำถามคือมันจะมีเวลาให้เขาไหม? ในเมื่อแม้แต่ในโลกเวทมนตร์ก็ยังไม่มีคาถาใดที่สามารถเสกกาลเวลาขึ้นมาได้
คนเดียวที่จะให้คำตอบได้คือ ทอดด์ โบห์ลี
ทอดด์ โบห์ลี พบแล้วว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไม่ง่ายอย่างที่คิด
แซดอย่างบ่อย เธอไม่ไหวฉันก็คงต้องปล่อย?
ทอดด์ โบห์ลี นำขบวนนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาเทกโอเวอร์เชลซีต่อจาก โรมัน อบราโมวิช ด้วยความตั้งใจ เพราะมองเห็นศักยภาพของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ที่สามารถต่อยอดความสำเร็จจากยุค ‘Roman Empire’ ได้อีกมากมาย
ตามสไตล์อเมริกัน โบห์ลีพยายามที่จะยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องต่างๆ ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างดีที่สุด ตัดสินใจไวที่สุด เปย์หนักที่สุดเท่าที่ทีมจะร้องขอ และนั่นทำให้เชลซีมีการเสริมกระบวนทัพเข้ามาหลายรายในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูร้อนที่ผ่านมา
ราฮีม สเตอร์ลิง, คาลิดู คูลิบาลี, มาร์ก กูกูเรยา, เวสลีย์ โฟฟานา, ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง, เดนิส ซากาเรีย และล่าสุดสดๆ ร้อนๆ กับกองหลังอย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิล จากโมนาโก ที่ซื้อมาด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์
ไม่นับการเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู กองหน้าสุดฮอตจากแอร์เบ ไลป์ซิก ที่จะย้ายมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์หน้า
แต่การตัดสินใจใหญ่หลวงที่เขาทำและอาจจะทำให้เสียใจในภายหลัง คือการตัดสินใจแยกทางกับ โธมัส ทูเคิล อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นฤดูกาลได้เพียงแค่เดือนเดียว และตัดสินใจที่จะดึงตัว เกรแฮม พอตเตอร์ ที่กำลังนำไบรท์ตันทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมาแทนที่
สิ่งที่กำลังกลายเป็นพันธนาการคือ ‘สัญญา’ ที่โบห์ลีให้กับพอตเตอร์นั้นมีระยะเวลาถึง 5 ปี เพื่อให้สร้างทีมในระยะยาว แต่ตอนนี้ยังไม่ครบ 4 เดือนดี สถานการณ์กำลังมาถึงจุดที่ใกล้จะต้องตัดสินใจว่าเขาจะยังให้เวลากับพอตเตอร์ในการทำงานต่อไปหรือไม่
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไม่เหมือนอเมริกันเกมส์ แรงกดดันจากแฟนๆ มากมายมหาศาลกว่ามาก และการบริหารจัดการต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่กลุ่ม FSG กับลิเวอร์พูล ก็ใช้เวลาในการเรียนรู้นานหลายปีกว่าที่จะพาทีมก้าวไปสู่จุดสูงสุดและผ่านการเจ็บตัวมาไม่น้อย
ถ้าหากโบห์ลียังไว้ใจที่จะให้เวลาและโอกาสพอตเตอร์ในการแก้ไขสิ่งต่างๆ สิ่งที่ควรจะทำคือการแสดงออกชัดเจนว่าจะยืนหยัดเคียงข้างกันในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
รวมถึงการสนับสนุนอีกเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการเติมนักเตะระดับท็อปเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นรายของ เอนโซ เฟร์นันเดซ (ซึ่งข่าวว่าพับแผนไปแล้ว) หรือ มิไคโล มูดริก กองหน้าพรสวรรค์จากชัคตาร์ โดเนตสก์ ที่ต้องการปาดหน้าอาร์เซนอล
แต่หากคิดว่าพอตเตอร์ไม่ใช่จริงๆ บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดคือการยอมรับความผิดพลาดและเริ่มต้นแก้ไขจากสิ่งที่ผิด
ยังพอมีผู้จัดการทีมฝีมือดี มีประสบการณ์อีกหลายคนในตลาดเวลานี้ ที่ยินดีจะรับงานนี้แน่นอน
อ้างอิง: