วันนี้ (9 ธันวาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มีความกังวลในการทำคดี ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ของตำรวจ ว่าข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่นำมาให้ตำรวจทำสำนวนไม่แน่นพอ หากสรุปสำนวนแล้วอัยการหรือศาลอาจยกฟ้องได้
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชูวิทย์เข้าใจว่า ทางสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ยานนาวา ทำคดีเพียง สน. เดียวไม่มีความชำนาญ แต่ขอยืนยันว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ และ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งมีทั้งตนเองและตำรวจนครบาล ระดมพนักงานสอบสวนฝีมือดีจากทั่วประเทศ รวมถึงมีอธิบดีอัยการคดียาเสพติด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาร่วมทำงานด้วย
จึงขอให้มั่นใจว่าตำรวจทำคดีนี้อย่างรอบคอบรัดกุม และหากคดีนี้ตนทำไม่ดีคนที่เสียหายนอกจากตนเองแล้ว ประชาชนก็จะไม่ศรัทธาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้ขออย่ากังวลใจ
พล.ต.อ. สุเชษฐ์กล่าวอีกว่า ส่วนของคดีมูลฐานฟอกเงินที่ชูวิทย์เป็นกังวล ย้ำว่าจะต้องมีการดำเนินคดีข้อหานี้อยู่แล้ว แต่มีกระบวนการขั้นตอน โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ ตำรวจต้องทำบัญชีส่ง ป.ป.ส. และ ปปง. จากนั้นต้องนำเข้าคณะกรรมการธุรกรรมในการยึดอายัดทรัพย์ ก่อนที่จะเข้าสู่การดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินได้
“คุณชูวิทย์เป็นประชาชนที่แจ้งเบาะแสได้ดี เพราะข้อมูลเบาะแสหลายๆ อย่างตรงกันกับที่ตำรวจมี แต่ตอนนี้ตำรวจยังเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนอยู่ แต่หากมีการสืบสวนพบว่ามีการโอนเงินไปต่างประเทศจะเข้าความผิดนอกราชอาชณาจักร อัยการสูงสุดถึงจะเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน” พล.ต.อ. สุเชษฐ์กล่าว
พล.ต.อ. สุเชษฐ์กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ชูวิทย์พูดอาจจะเป็นการพูดล่วงหน้าไป แต่ย้ำว่าหลักฐานเดินไปถึงตรงไหนจะต้องดำเนินการตามนั้น แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในกรอบระยะเวลาและสัดส่วนที่ทำอย่างรัดกุมอยู่แล้ว และต้องเร่งรัดเพราะพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนมากกว่า 60-70 คน ที่มาทำคดีนี้มีจำนวนมาก และต้องไปทำคดีอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้คดีอื่นล่าช้าไปด้วย