13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ อีกภาพยนตร์สารคดีที่สะท้อน ‘ความเชื่อในการมีชีวิต’

13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) คืออีกหนึ่งภาพยนตร์สารคดีผลงานการกำกับของ ไพลิน วีเดล (Hope Frozen) ที่หยิบยกเอาเรื่องราวเหตุการณ์ช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่า ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในวันที่ 23 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2561 มาบอกเล่ากันอีกครั้ง 

ซึ่งคำถามแรกที่เกิดขึ้นภายในใจหลายคนหลังจากที่ได้ยินชื่อของ 13 ชีวิตหมูป่าอีกครั้งคงหนีไม่พ้น ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีจุดแตกต่างจากสื่อภาพยนตร์และสารคดีก่อนหน้านี้อย่างไร?

สำหรับผู้เขียนแล้ว สิ่งที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้นำเสนอออกมาได้พิเศษมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา คือการที่ผู้กำกับได้หยิบยกเอาเหตุการณ์ดังกล่าวออกมาถ่ายทอดอีกครั้งผ่านมุมมองของสมาชิกทีมหมูป่าและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นโค้ชเอก สมาชิกทีมนักฟุตบอล ครอบครัว ทีมนักประดาน้ำทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่าง จ่าแซม-นาวาตรีสมาน กุนัน

ซึ่งวิธีการที่ผู้กำกับใช้คือ การจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยประสบการณ์ที่ถูกบอกเล่าออกมา ผ่านตัวของเหล่าสมาชิกทีมหมูป่าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวินาทีที่ทีมหมูป่าทุกคนรอดชีวิตออกมา 

อย่างไรก็ตาม การที่เรื่องราวของ 13 ชีวิตทีมหมูป่าได้เคยถูกทำออกมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่องราวก่อนหน้านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้โดยส่วนตัวแล้วภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งวังวนของเรื่องราวที่ใครหลายคนเคยพบเห็นกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว

เพียงแต่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีอารมณ์ของความรู้สึกมากกว่าเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด และจากที่กล่าวไปข้างต้นว่า ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ของเหล่าบรรดาสมาชิกทีมหมูป่าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตัวจริง ก็ทำให้เรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมาใหม่อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรู้สึก ความคิด รวมไปถึงความเชื่อที่ออกมาจากหัวใจของพวกเขาจริงๆ โดยไม่ได้ถูกปรุงแต่งแต่อย่างใด

นอกจากเหล่าบรรดาสมาชิกทีมหมูป่าและครอบครัวของพวกเขาที่เป็นประเด็นหลักสำคัญแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับได้พาคนดูเข้าไปสำรวจเพิ่มเติมคือเหล่าบรรดานักข่าว และนักประดาน้ำชาวต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า พวกเขารู้สึกอย่างไร และมีวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแบบไหน รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 13 หมูป่าจากมุมมองของบุคคลจริงที่ได้ทำการช่วยเหลือพวกเขาออกมา 

ซึ่งแง่หนึ่งที่สารคดีถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจคือ การพาผู้ชมไปสำรวจสภาวะจิตใจของเหล่าสมาชิกทีมหมูป่าที่ต้องคอยแบกรับความคาดหวังจากผู้คนที่เคยช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เหล่าบรรดาเด็กน้อยและโค้ชเอกต้องแบกรับนั้นหนักหนาสาหัสมากขนาดไหน จนถึงขั้นที่มีน้องคนหนึ่งในทีมได้ให้สัมภาษณ์ว่า ‘ชีวิตที่เหลืออยู่คงต้องเป็นคนดีตลอดไป เพื่อคนที่เคยช่วยเหลือเขาเอาไว้’ 

และการที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สร้างมาจากมุมมองของผู้ที่ประสบเหตุ ก็ทำให้คนดูมองเห็นถึงความคิดและทัศนคติของเหล่าบรรดาทีมหมูป่าได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่า เพราะเหตุใดพวกเขาทุกคนที่ติดอยู่ภายในถ้ำและไร้ซึ่งทางออก ถึงยังสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้แม้จะผ่านไปนานถึง 2 สัปดาห์

อีกทั้งยังพาไปสำรวจถึงมุมมองและความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียหนึ่งในสมาชิกครอบครัวคนสำคัญไปตลอดกาลอย่างครอบครัวของจ่าแซม ที่ได้เสียชีวิตลงในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทั้ง 13 หมูป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สารคดีและภาพยนตร์เรื่องอื่นยังไม่ได้พาเราไปดูอย่างชัดเจน

กล่าวโดยรวมคือ แม้ 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ จะเป็นเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง จนหลายคนคงรู้แทบจะทุกซอกทุกมุมของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว แต่อีกด้านภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์ในการพาผู้ชมไปดูมุมมองและความรู้สึกของผู้คนที่ประสบเหตุ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกช่วยเหลือ คนช่วยเหลือ คนที่ยังรอพวกเขากลับมาอย่างมีความหวัง หรือกระทั่งคนที่สูญเสีย ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากตัวบุคคลจริงที่ออกมาบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของพวกเขาให้กับผู้ชมอย่างเราฟัง

รวมไปถึงความเชื่อและความหวังที่สะท้อนออกมาผ่านบทสนทนา ก็ทำให้เราสัมผัสได้อย่างไม่ยากเย็นว่านอกเหนือจาก ‘พลังใจ’ และ ‘ความเชื่อ’ แล้ว มันสมองก็เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาไม่แพ้กัน

13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) มีกำหนดเข้าฉายอย่างเป็นทางการใน Netflix วันที่ 5 ตุลาคมนี้