วันนี้ (7 กันยายน) สุพันธุ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย และอดีตประธานสภาอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงกรณีอัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยที่พุ่งแตะ 7.86% สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังคงสูงขึ้นอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี
โดยสุพันธุ์ระบุว่า ตนเป็นห่วงว่าจากกระแสข่าวที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่จะซ้ำเติมปัญหาให้ประชาชน และผู้ที่ประกอบธุรกิจที่กำลังจะฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด เพราะคนจำนวนมากที่กำลังเผชิญอยู่กับภาวะหนี้สินจะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
สุพันธุ์เสนอว่า สิ่งที่รัฐควรทำคือการลดต้นทุนราคาพลังงาน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพราะถ้าหากไม่แก้ไขปัญหาเรื่องราคาพลังงาน รัฐก็จะต้องวนอยู่กับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่สิ้นสุด เพราะไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศอยู่มาก รัฐจึงควรเอาจริงเอาจังกับการสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทน โดยเน้นย้ำว่า รัฐต้องเป็นผู้ริเริ่มใช้พลังงานทดแทน เช่น เริ่มติดตั้ง Solar Roof บนอาคารหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประชาชน
รัฐบาลต้องส่งเสริมให้อาคารพาณิชย์ รวมทั้งบ้านเรือนของประชาชนใช้ Solar Roof อย่างจริงจังมากขึ้น ด้วยการออกมาตรการให้ประชาชนและเอกชนกู้เงินเพื่อซื้อ Solar Roof ไปติดตั้งในราคาถูก และดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ประชาชนได้ประหยัดการใช้พลังงาน และลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ และสามารถช่วยเสริมรายได้ด้วยการขายไฟฟ้าที่เหลือใช้กลับให้การไฟฟ้าได้
สุพันธุ์ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้นไม่ควรจะมองเพียงแค่จะสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้ออย่างไร แต่ควรมองถึงต้นเหตุที่มาของเงินเฟ้อ คือราคาพลังงาน ฉะนั้น การแก้ปัญหาให้ถูกจุดก็ต้องแก้ที่ราคาพลังงาน เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ และลดต้นทุนการผลิตลงทั้งห่วงโซ่ด้วย