เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล ( BCH ) รายงานกำไรสุทธิ 2Q65 จำนวน 1.1 พันล้านบาท ทรงตัว YoY แต่ลดลง 44%QoQ เป็นไปตาม SCBS และตลาดคาด กำไรในระดับทรงตัว YoY เป็นเพราะ EBITDA Margin ที่ลดลงถูกชดเชยด้วยรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่กำไรที่ลดลง QoQ เกิดจากรายได้ที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะรายได้จากบริการโควิด
ผลประกอบการ 1H65 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาทใน 1H64 นอกจากนี้ BCH ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวด 1H65 ในอัตรา 0.4 บาทต่อหุ้น (ผลตอบแทน 2%) ขึ้น XD วันที่ 31 สิงหาคมนี้
สำหรับรายการสำคัญใน 2Q65
- รายได้จากกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%YoY แต่ลดลง 22%QoQ ทั้งนี้เมื่อจำแนกตามประเภทบริการ รายได้จากบริการโควิด (56% ของรายได้ 2Q65) อยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท ลดลง 30%QoQ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิดลดลง และความรุนแรงของโรคลดน้อยลง รายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิดอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%YoY แต่ลดลง 8%QoQ
- EBITDA Margin ลดลงสู่ 32% (จาก 46.3% ใน 2Q64 และ 45.1% ใน 1Q65) เนื่องจากผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีอาการรุนแรงน้อยลง และค่าใช้จ่าย SG&A สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 31%YoY และ 7%QoQ) จากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงราว 90 ล้านบาท จากบริษัทย่อยใน สปป.ลาว เพราะเงินกีบลาวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับบาท (ลดลง 16%QoQ)
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม – ปัจจุบัน ราคาหุ้น BCH ปรับตัวลดลง 3.88% อยู่ที่ระดับ 19.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.67% สู่ระดับ 1,636.07 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
BCH คาดว่ารายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด (113% ของระดับก่อนเกิดโควิดใน 2Q65) จะเติบโตต่อเนื่องใน 2H65 โดยได้แรงหนุนจากการขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และศูนย์นวัตกรรมการดูแลรักษาแผลเบาหวานแห่งใหม่ (ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง) และบริการผู้ป่วยต่างชาติที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากไทยกลับมาเปิดประเทศ
สำหรับบริการโควิด BCH พบว่าการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายดีขึ้น
ทั้งนี้ SCBS ปรับประมาณการกำไรของ BCH เพิ่มขึ้น 28% ในปี 2565 หลักๆ เกิดจากบริการโควิด แต่ยังคงประมาณการปี 2566-67 ไว้เหมือนเดิม (ใต้สมมติฐานว่าไม่มีรายได้จากบริการโควิด)
อย่างไรก็ตาม SCBS ยังคงมุมมองที่ว่ากำไรของ BCH จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยจะลดลง YoY ใน 2H65-1H66 เนื่องจากรายได้จากบริการโควิดจะชะลอตัวลง และกำไรจะลดลง 34% ในปี 2565 และ 60% ในปี 2566 หากตัดบริการโควิดออกไป กำไรจะเติบโต 20%YoY ในปี 2565 และ 17%YoY ในปี 2566
SCBS เปลี่ยนมาใช้ Valuation สิ้นปี 2566 ซึ่งไม่ได้ทำให้ราคาเป้าหมายที่ประเมินได้ด้วยวิธี DCF ที่ 24 บาทต่อหุ้น เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ BCH ได้สั่งวัคซีนทางเลือก Moderna เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อจำหน่ายให้ผู้ป่วยที่จะจ่ายค่าวัคซีนเอง และขณะนี้มีวัคซีนเหลือพร้อมจำหน่ายอยู่ราว 1.1 ล้านโดส ซึ่ง BCH ทยอยได้รับวัคซีนตั้งแต่ 2Q65-1Q66
ส่วนประเด็นกังวลคือ หากการฉีดวัคซีนทำได้ช้าและวัคซีนหมดอายุก็อาจมีค่าตัดจำหน่ายเกิดขึ้น ในกรณีเลวร้าย SCBS ประเมินว่า BCH จะบันทึกค่าตัดจำหน่ายที่ราว 1.2 พันล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบ 0.5 บาทต่อหุ้น โดยเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจะต่ำกว่าที่ประเมินได้ในกรณีเลวร้าย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP