วันนี้ (11 สิงหาคม) ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีเศรษฐกิจผูกขาด โดยมี ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นผู้ตอบแทน พล.อ. ประยุทธ์
โดยศิริกัญญาเกริ่นนำว่า ระบบผูกขาดเกิดขึ้นในเศรษฐกิจไทย ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด สิ่งนี้จะเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ โดย 8 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ส่งเสริมให้กลุ่มเจ้าสัวที่รวยสุด 50 รายแรกของประเทศ รวยขึ้น 2 ล้านล้านบาท แต่ 8 ปีของ พล.อ. ประยุทธ์เช่นเดียวกัน ก็ทำให้หนี้ครัวเรือนของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นถึง 4.6 ล้านล้านบาท เท่ากับประชาชนรายได้ลด แต่หนี้เพิ่มไม่หยุด
“ถ้าความร่ำรวยของเจ้าสัวเหล่านี้เกิดขึ้นจากความสามารถเก่งกาจ จะไม่ว่าอะไรสักคำเลย แต่ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นจากการผูกขาดโดยการเอื้อประโยชน์ของรัฐนั้น เท่ากับว่าเงินที่หายไปจากกระเป๋าประชาชนได้ถูกถ่ายเทไปเป็นความร่ำรวยของนายทุน แถมตลอดการดำรงตำแหน่งของ พล.อ. ประยุทธ์ ก็มีแนวโน้มเอื้อทุนใหญ่มาโดยตลอด” ศิริกัญญากล่าว
โดยศิริกัญญายกตัวอย่างการเอื้อกลุ่มทุนใหญ่-ทุนผูกขาด ของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ได้แก่
- ยืดหนี้ให้กลุ่มทุนโทรคมนาคมจ่ายค่าประมูลคลื่น 4G ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 10 ปี จนรัฐเสียหาย เอกชนฟันผลประโยชน์ไป 2 หมื่นล้านบาท
- อุ้มเอกชนที่ผูกขาด Duty Free โดยแก้สัญญาสัมปทานแบบด่วนทันใจก่อนช่วยประชาชนเสียอีก ทั้งลดค่าสัมปทานและยืดอายุ จนรัฐเสียผลประโยชน์หลายพันล้านบาท
- อ้างโควิดเช่นกัน ในการยอมให้แก้ไขสัญญาสัมปทาน PPP รถไฟฟ้าความเร็วสูง 3 สนามบิน ยอมให้ผ่อนจ่ายค่าสิทธิ์บริหารจัดการ Airport Rail Link แบบดอกเบี้ยแสนถูก ให้รัฐบาลสมทบทุนเร็วขึ้นเพื่อช่วยออกค่าก่อสร้าง แทนที่จะไปออกเงินตอนก่อสร้างเสร็จแล้ว
- รัฐบาลยังปล่อยให้มีการควบรวมห้างค้าปลีก-ร้านสะดวกซื้อ ทำให้เพิ่มการผูกขาดในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหมดทางเลือก
- กรณีล่าสุด ควบรวม TRUE-DTAC จะผูกขาดขั้นสุด ประชาชนต้องแบกรับค่าบริการ กระทบค่าครองชีพให้มากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ออกมาพูดจาสนับสนุนการควบรวมครั้งนี้ว่าเป็นสิทธิ์ของเอกชน
- ล่าสุดของล่าสุด การขออนุญาตควบรวมกิจการอินเทอร์เน็ต AIS-3BB
ศิริกัญญาจึงตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วรัฐบาลชุดนี้คิดว่ามีปัญหาการผูกขาดในเศรษฐกิจหรือไม่ แล้วรัฐบาลนี้มีนโยบายป้องกันการผูกขาด และส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมบ้างหรือไม่ ถ้ามี คืออะไร เป็นอย่างไรบ้าง ท่านคิดว่าทำดีพอแล้วหรือยัง เป็นธรรมต่อ SMEs และประชาชนผู้บริโภค ที่ควรจะเป็นรากฐานสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศนี้แล้วหรือยัง?
ศิริกัญญาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า แต่เดิมค่าบริการโทรศัพท์มือถือของคนไทยก็สูงอยู่แล้วแม้ว่าจะมีหน่วยงานกำกับดูแลอยู่ก็ตาม ตัวเลขจาก International Telecommunication Union (ITU) เปิดเผยว่าสำหรับแพ็กเกจใช้น้อย อยู่อันดับที่ 111 ส่วนแพ็กเกจใช้มาก อยู่อันดับที่ 87 จาก 182 ประเทศ ถ้าหากการควบรวมครั้งนี้สำเร็จก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก
เมื่อดูเฉพาะอินเทอร์เน็ต ถ้าเราอยากส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริง ค่าบริการก็จะต้องไม่แพง เพื่อส่งเสริมทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่ปรากฏว่าเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ คนไทยต้องทำงาน 2 วันเพื่อจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตรายเดือน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ทำงาน 1 วัน หรือน้อยกว่านั้น
สำหรับผลการศึกษาการควบรวมครั้งนี้ออกมาแล้วจาก 5 หน่วยงาน ทั้งจากหน่วยงานที่ TRUE-DTAC จ้างศึกษา มีทั้งสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา รวมถึงคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เอง ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขั้นต่ำคือ 10% แต่ถ้าการควบรวมนี้มีการฮั้วกันก็จะทำให้ค่าบริการยิ่งแพงขึ้นไปอีก โดยคณะอนุกรรมการของ กสทช. เองศึกษาแล้วพบว่าค่าบริการจะพุ่งสูงขึ้นถึง 49-200% หมายความว่าถ้าทุกวันนี้เราจ่ายค่ามือถือและอินเทอร์เน็ต 100 บาท อาจจะต้องจ่าย 150-300 บาท แบบนี้กระทบค่าครองชีพประชาชนอย่างเต็มที่ ซ้ำเติมเงินเฟ้อที่ยังขึ้นไม่หยุดด้วย แล้วประชาชนและธุรกิจดิจิทัลเหล่านี้จะพัฒนากันต่อได้อย่างไร
ศิริกัญญากล่าวต่ออีกว่า ตนเองทราบดีว่าเป็นหน้าที่กำกับดูแลโดย กสทช. แต่ในฐานะรัฐบาล ท่านได้ศึกษาประเมินบ้างหรือไม่ว่ามูลค่าความเสียหายของเศรษฐกิจดิจิทัลจะอยู่ที่กี่พันล้านบาท งานของประชาชนคนไทยจะหายไปกี่ตำแหน่ง และถ้าผลกระทบมากขนาดนี้ ท่านคิดว่ากฎหมาย กฎระเบียบ ประกาศ ที่มีอยู่นั้นพอหรือไม่ที่จะเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
“ดังนั้นเรายังไม่มีความเชื่อใจ มั่นใจ ว่า กสทช. จะกำกับราคาได้เลย วันนี้เราหวังว่าให้ควบรวมไปก่อนแล้วค่อยไปกำกับดูแลราคาทีหลัง มันไม่ได้” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญากล่าวต่ออีกว่า เมื่อมีการดีลใหญ่เกิดขึ้นแบบนี้ รัฐบาลทั่วโลกก็จะมีบทบาทนำมาโดยตลอด เช่น การควบรวมบริษัทโทรคมนาคมที่แคนาดา ก็เป็นรัฐบาลเองที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้มีการควบรวมในครั้งนั้น แม้สุดท้ายบริษัทจะยอมคลายคลื่นและยอมผ่านดีลในที่สุด และมีอีกหลายกรณีที่ดีลไม่ผ่านเลย เช่น กรณีของ AT&T และ T-Mobile ของสหรัฐฯ เพราะหน่วยงานกำกับดูแลเข้มแข็งมาก
ต้องยอมรับว่าในหลายครั้งต้องเป็นบทบาทและนโยบายของทางรัฐบาลในการเจรจาดึงดูดนักลงทุน แก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่างๆ เพื่อทำให้เกิดผู้เล่นรายใหม่เกิดขึ้น นี่คือนโยบายจากทางรัฐบาลทั้งสิ้น และทุกประเทศก็ทำกัน เช่น รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นตัวกลางและใส่เงินในการเจรจาควบรวมบริษัทผลิตชิปภายในประเทศเมื่อเกิดวิกฤต แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อให้เกิดการผูกขาดในประเทศ แต่เพื่อความแข็งแกร่งของบริษัทที่จะไปแข่งในตลาดโลก
ดังนั้นตนเรียกร้องให้รัฐบาลต้องมีบทบาทนำในประเด็นนี้มากขึ้น ทางเลือกที่เหลืออยู่ หากจำเป็นจะต้องหานักลงทุนรายใหม่เข้ามาแทน DTAC ที่จะถอนหรือลดการลงทุนจากภูมิภาคนี้ ก็มีอยู่ไม่กี่ทางเลือก คือ
- ให้รัฐวิสาหกิจมาเทกโอเวอร์ เช่น NT แต่ตนไม่สนับสนุนแนวทางนี้
- ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่จากในประเทศ ก็เกี่ยวข้องกับรัฐบาลโดยตรงว่าจะเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคมหรือไม่
“คำถามสำคัญก็คือ รัฐบาลได้ใช้อำนาจ ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและนำพาประเทศพ้นวิกฤตครั้งนี้
“แล้วท่านจะตอบกับประชาชนอย่างไร เมื่อพวกเขามองว่าท่านไม่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการควบรวมผูกขาดครั้งนี้ และเขาตั้งข้อสงสัยว่าท่านไม่ทำอะไรเลยจากการดีลควบรวมในครั้งนี้ เพราะท่านได้ประโยชน์ดีลผูกขาดนี้เช่นกัน” ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้าย
ทางด้านชัยวุฒิตอบว่า รัฐบาลมีนโยบายให้มีการแข่งขันอย่างเสรีอยู่แล้ว และไม่เชื่อว่าเอกชนสองรายจะฮั้วกัน รวมทั้งรัฐบาลไม่มีอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกำกับดูแลกรณีควบรวม TRUE-DTAC เพราะเป็นอำนาจของ กสทช. แต่นโยบายของรัฐบาลคือให้มีการแข่งขัน ไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร