นักเศรษฐศาสตร์หวั่นสถานการณ์ใน ไต้หวัน เพิ่มความตึงเครียดให้การค้าการลงทุนโลก แนะจับตาปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนอาจกระทบห่วงโซ่การผลิตไทย พร้อมเตือนไทยสร้างสมดุลความสัมพันธ์ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการชักชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนใน EEC
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ประเมินว่า ปัญหาในคาบสมุทรไต้หวันจะส่งผลให้การค้าและการลงทุนโลกมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การที่ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาต่างต้องพึ่งพากันและกันค่อนข้างมากในทางเศรษฐกิจจะทำให้ทั้งสองชาติไม่สามารถตัดขาดจากกันได้เหมือนกับสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในอดีต หมายความว่าการคว่ำบาตรกันโดยตรงซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
“การเดินทางเยือนไต้หวันทั้งที่จีนได้แจ้งเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วสะท้อนว่าสหรัฐฯ ต้องการส่งสัญญาณบางอย่าง เรื่องนี้ถือเป็นการดับฝันที่หลายคนเคยคาดว่าสหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีการนำเข้าสินค้าจีน ซึ่งแน่นอนว่าสงครามการค้าจะยืดเยื้อต่อไป” อมรเทพกล่าว
อมรเทพกล่าวอีกว่า การออกประกาศห้ามนำเข้าสินค้าหลายชนิดจากไต้หวันของจีนอาจทำให้ไต้หวันต้องหันกลับมาทบทวนตัวเอง เพราะปัจจุบันไต้หวันพึ่งพาจีนค่อนข้างมากทั้งการส่งออกสินค้าและการเข้าไปตั้งโรงงานผลิต ในทางกลับกันจีนยังพึ่งพาไต้หวันค่อนข้างน้อยและสามารถผลิตสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากไต้หวันได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นหากเทียบกันแล้วจีนย่อมเจ็บตัวน้อยกว่า
สำหรับผลกระทบต่อไทย อมรเทพเชื่อว่าผลกระทบทางตรงคงมีไม่มาก เพราะการค้าระหว่างไทยและไต้หวันมีสัดส่วนที่ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาในเรื่องปัญหาขาดแคลนชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่อาจรุนแรงขึ้น เพราะไต้หวันถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็อาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตในหลายอุตสาหกรรมของไทย
“ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนี้มีความละเอียดอ่อน ไทยเองต้องพยายามรักษาสมดุลในด้านความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ไม่เลือกข้างเพราะเราเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก หากเป็นไปได้เราควรเร่งสร้างโอกาสชักชวนธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของเรา และเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเราให้ลุล่วง” อมรเทพกล่าว
ด้าน พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการการเดินทางเยือนไต้หวันของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าเรื่องดังกล่าวจะสร้างความตึงเครียดและความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันมากถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ หากสองประเทศยักษ์ใหญ่มีปัญหากันก็จะทำให้บรรยากาศความแน่นอนมีสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อแผนการลงทุนต่างๆ
สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทย มองว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยจึงมีความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกบีบให้เลือกข้าง แต่ในมุมหนึ่งไทยก็อาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทย และหากทั้งสองประเทศมีการแบนสินค้าระหว่างกันคำสั่งซื้อสินค้าไทยก็จะเพิ่มขึ้น