ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ คาด ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ฉุดเศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ชี้ราคาหุ้นร่วงรับข่าวจนน่าสนใจ แนะช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงแม้เกิด Recession
คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 27 กรกฎาคมนี้ คาดว่าที่ประชุมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75% ซึ่งถือเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 และการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% จากนั้นในเดือนกันยายนจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง โดยคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 0.50% และลดลงสู่การปรับขึ้นในอัตราปกติที่ 0.25% ในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปีในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม
ทำให้สิ้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 3.5% ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาด วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นรอบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
นอกจากนี้การปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวยังเกิดขึ้นท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยังคงส่งสัญญาณให้นักลงทุนตระหนกอย่างต่อเนื่อง เช่น ส่วนต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุ 10 ปี และระยะสั้น 2 ปี ซึ่งสามารถเตือนการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ล่วงหน้าได้ทุกครั้ง ก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น ยอดขายบ้าน ยอดค้าปลีก ยอดคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่น ที่มักเป็นดัชนีชี้นำ Recession ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ก็เริ่มส่งสัญญาณหดตัวอย่างชัดเจน ในขณะที่เศรษฐกิจหลักอื่นๆ ของโลกยังมีความเสี่ยงสูง ทั้งในจีนซึ่งยังมีความไม่แน่นอนจากมาตรการ Zero COVID และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และยุโรปที่ยังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งอาจกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม
คมศรกล่าวอีกว่า สำหรับผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจถดถอยต่อตลาดหุ้นนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่าจะกระทบใน 2 เรื่อง คือ
- ผลกระทบด้านมูลค่าหุ้น (Valuation) หรืออัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ซึ่งถูกกดดันผ่านนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น
- คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ซึ่งถูกปรับลดตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี ค่า Forward P/E ของ S&P 500 ปรับลดลงมาแล้วถึง -28% ใกล้เคียงกับการปรับลดในอดีต ทำให้มองว่า Valuation ที่ระดับปัจจุบันน่าจะสะท้อนความเสี่ยงจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นไปมากแล้ว ทำให้ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจาก Valuation น่าจะจำกัดต่อจากนี้ แต่คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับลงได้อีกในระยะข้างหน้าตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ถึงแม้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้จะมองว่าการปรับลดคาดการณ์กำไรจะเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้นยังอยู่ในขาลง แต่ด้วย Valuation ที่ลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมขึ้น ทำให้มองว่าโอกาสปรับลง (Downside) ของตลาดหุ้นน่าจะเริ่มจำกัด
จึงยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงแม้ในภาวะ Recession อย่างกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งกำไรโตเฉลี่ยถึง 8% ในช่วงที่เกิด Recession สวนทางกับกำไรของตลาด (S&P 500) ซึ่งหดตัวกว่า -25% นอกจากนี้เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของกำไรในระยะยาว (CAGR) พบว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา กำไรของกลุ่มเฮลท์แคร์ขยายตัวถึง 10% ต่อปี สูงกว่าตลาดหุ้นรวม (S&P 500) ที่ 7% ต่อปี และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่องในอนาคต ตามกระแสเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการเติบโตของกำไรในระยะยาวในช่วง 30 ปีอยู่ที่ 10% ต่อปี ถึงแม้ในระยะสั้นราคาอาจถูกกดดันจากการปรับลดคาดการณ์กำไร แต่น่าจะถูกชดเชยด้วย Valuation ที่น่าจะเริ่มคลี่คลายลง หลังตลาดตอบรับต่อความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินไปมากแล้ว ทำให้มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งก่อนหน้านี้โดนเทขายอย่างหนัก น่าจะเริ่มกลับมาโดดเด่นและปรับขึ้น (Outperform) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565