วันนี้ (19 กรกฎาคม) ที่อาคารรัฐสภา สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงหลังเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน พร้อมตอบกลับ นิคม บุญวิเศษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อพรรคพลังปวงชนไทย ที่กล่าวว่านำกองทุนประกันสังคมไปซื้อขายหุ้น
โดยสุชาติกล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการดังกล่าว เนื่องจากเรื่องนี้มีคณะกรรมการดำเนินการ ซึ่งมีตัวแทนจากพรรครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานด้วย แม้จะมีการซื้อขายหุ้นในกระบวนการดังกล่าวจริง ก็มีเงินปันผลตอบแทนให้กับประชาชนปีละ 80,000 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้นำไปช่วยเหลือผู้ประกันตน ส่วนปัญหาการซื้อขายหุ้นในอดีตก็มีการดำเนินคดีแล้ว
สุชาติยังได้ชี้แจงเรื่องหุ้นเพิ่มเติมว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น ส่วนหุ้นบริษัท ARIN ตนขอยืนยันว่าให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีปี 2543 และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยมีการเสียภาษีถูกต้อง
สุชาติกล่าวย้ำว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ตนทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ค้าแป้ง โดยช่วงก่อนการรับตำแหน่งรัฐมนตรี วันที่ 5 สิงหาคม 2563 ได้ดำเนินการโอนหุ้นตามกฎหมายให้ผู้จัดการ และแจ้งต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ภายใน 30 วันแล้ว และภายใน 90 วันก็แจ้งการจัดการหุ้นของตัวเองและคู่สมรสด้วย เพื่อความโปร่งใส
ส่วนข้อกล่าวหากรณีที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดชลบุรี และยกเว้นการกักตัวแรงงานนั้น สุชาติกล่าวว่า เรื่องนี้มีหนังสือขอผ่อนผันให้นำเข้าแรงงานข้ามชาติภายใต้ MOU ในช่วงขาดแคลนแรงงาน ซึ่งได้ดำเนินการตามกระบวนการ และดำเนินการตามข้อแนะนำของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งไม่มีประกาศให้กักตัว ดังนั้นจะให้ผู้ประกอบการกักตัวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และการกักตัวเป็นดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด
และในข้อกล่าวหาเรื่องการออกใบอนุญาตแรงงานข้ามชาติ โดยเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางรายนั้น สุชาติได้นำข้อมูลการออกใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ตามคำขอของนายจ้าง มาอธิบายตัวเลขของการยื่นขอกับการได้รับอนุญาต ว่าแต่ละกลุ่มของแต่ละสถานประกอบการที่ยื่น และได้รับอนุญาตในจำนวนเฉลี่ยไล่เลี่ยกันร้อยละ 18 โดยไม่ได้เอื้อให้กับผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง
ทั้งนี้ สุชาติได้แสดงตัวเลขอัตราแรงงานจากที่เคยติดลบปี 2563 จนถึงปี 2564 กลับมาบวกแสนกว่าคน และปี 2565 ในสองไตรมาสแรก ตลาดจ้างงานบวก 6 แสนกว่าคน และร้อยละ 80 ของนักศึกษาจบใหม่ก็ได้รับการจ้างงาน มาแสดงในที่ประชุมสภาด้วย