Firefly Bar บาร์สุดหรูสไตล์ยุโรปที่โรงแรม Sindhorn Kempinski กลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบอีกครั้ง พร้อมให้เหล่าบาร์ฮอปปิ้งได้มาลิ้มลองซิกเนเจอร์ค็อกเทลเวอร์ชันใหม่ พร้อมเพลิดเพลินกับไลฟ์แจ๊สในบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนพิเศษ
ด้วยความที่ Kempinski เป็นแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับเวิลด์คลาส ที่เรียกได้ว่าหรูหราและเก่าแก่ที่สุดในยุโรป Firefly Bar จึงการันตีได้ถึงความพิเศษด้านงานดีไซน์และการตกแต่งภายในที่มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปแบบเรโทร ผสมผสานสไตล์อาร์ตเดโค เพิ่มกิมมิกความเป็นไทยด้วยภาพงานศิลปะวิจิตรไทยตกแต่งไว้ตามผนัง บรรยากาศด้านในค่อนข้างสลัว แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วจะเห็นแสงระยิบระยับจากโคมไฟระย้า ขับเน้นในจุดไฮไลต์อย่างหน้าเคาน์เตอร์บาร์ และซิการ์เลานจ์ ทำให้มู้ดคล้ายแสงไฟของตัวหิ่งห้อยในยามราตรี ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของบาร์
และอย่างที่บอกว่าบาร์นั้นมีอินสไปร์มาจากหิ่งห้อย ดังนั้นเมนูเครื่องดื่มจึงมีคอนเซ็ปต์คล้ายกันคือ The Journey of Firefly แรงบันดาลใจจากเรื่องราวการเดินทางของหิ่งห้อย ที่เป็นสัญลักษณ์ของความฝัน ความสุข ความหวัง และโชคในวัฒนธรรมไทย ถ่ายทอดผ่านค็อกเทลคุณภาพที่มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไวน์ วิสกี้ระดับพรีเมียม หรือซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่เพิ่งอัปเกรดเมนูใหม่ล่าสุด โดย Dicky Hartono ผู้จัดการบาร์ชาวอินโดนีเซีย ที่เริ่มต้นและผ่านประสบการณ์ในอาชีพนี้มาทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง ตั้งแต่ ดูไบ, โอมาน, ฟิลิปปินส์, เซี่ยงไฮ้, ปักกิ่ง และไทย แถมยังเป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศ National Hospitality Institute Oman Mocktail Competition in 2012 และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
Dicky Hartono ผู้จัดการบาร์ชาวอินโดนีเซีย
ซิกเนเจอร์ค็อกเทลตัวแรกที่อยากให้ลองคือ Firefly No.02 (450 บาท) เมนูที่พรีเซนต์คอนเซ็ปต์บาร์ซึ่งถูกพัฒนาต่อมาจาก Firefly No.01 ให้เข้าถึงทุกคนได้ง่ายขึ้น เบสด้วยวิสกี้อ่อนนุ่มผสมผสานกับชาเอิร์ลเกรย์ เสริมรสฟรุตตี้เข้าไป ด้วยเสาวรสที่ประดับอยู่ด้านบนให้รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มง่าย และสดชื่น
Firefly No.02 (450 บาท)
เพิ่มความสนุกสนานไปอีกขั้น กับซิกเนเจอร์ค็อกเทลอีกตัวที่มีชื่อว่า Lady in Red No.2 (450 บาท) ที่อินสไปร์จากความสง่างามของผู้หญิงในชุดสีแดง ซึ่งมักพบเจอได้ในทุกๆ ล็อบบี้ จนกลายมาเป็นไอคอนิกของ Kempinski ตัวเครื่องดื่มเบสด้วยพรีเมียมลอนดอนดรายจิน และเบอร์รีต่างๆ ที่ให้รสหวานอมเปรี้ยว มีความฟรุตตี้จากผลไม้ และปรุงมิติรสชาติให้หอมหวานกว่า Lady in Red No.1 เพิ่มสีสันให้สวยงามด้วยรีดิวซ์ไวน์แดงโฮมเมด เสิร์ฟพร้อมกับสโมกบับเบิลด้านบนให้ป๊อปก่อนดื่ม ใครชอบเครื่องดื่มที่มีลูกเล่นและรสชาติเปรี้ยวหวานเบาๆ น่าจะถูกใจแก้วนี้
Lady in Red No.2 (450 บาท)
Clear Coco (500 บาท) เป็น Milk Punch คลาสสิกที่ให้ความรู้สึกแบบไทยๆ แต่ไม่ครีมมี่ เบสเป็นวอดก้า ผสมผลไม้ไทยอย่างเงาะและมะม่วง ใช้เทคนิคการปรุงรสชาติที่โมเดิร์นขึ้น ด้วยการใส่ความสไปซีและกลิ่นท็อปโน้ตของสมุนไพรเล็กน้อย เพื่อสร้างความแตกต่างและทำให้รสชาติมีความซับซ้อนกว่าตัวคลาสสิก ตบท้ายด้วยการพ่นน้ำหอมกินได้กลิ่นวานิลลาและมะพร้าว ตกแต่งด้วยใบเตยที่ให้กลิ่นหอมชัดเจน เป็นอีกแก้วที่ดื่มง่าย แนะนำเลยสำหรับคนที่ชื่นชอบค็อกเทลแบบหอมหวานใสเบาๆ
Clear Coco (500 บาท)
แก้วถัดมา Vieux Carre (550 บาท) ค็อกเทลที่เบสด้วยเหล้าลิเคียวร์ ประกอบด้วยส่วนผสมสามส่วนคือ Spirit + Bitter + Sweet เน้นรสชาติที่หนักแน่น ไม่มีความเปรี้ยวของผลไม้ แต่ให้รสสัมผัสที่เข้าถึงความเป็นตัวตนของเหล้าได้ดี เอาใจคนที่ชอบค็อกเทลรสชาติเข้มและสตรอง
Vieux Carre (550 บาท)
อีกหนึ่งแก้ว แนะนำเป็น Caffeination (550 บาท) ที่ดูจากชื่อแล้วก็พอเดาได้ง่ายๆ ว่ามีส่วนผสมของกาแฟ เบสด้วย Scotch Whisky อินฟิวส์กับกาแฟโคลด์บรูว์ และชาแลปซางซูชองจากประเทศจีน มีเมล็ดกาแฟเบลนด์คั่วเข้มใส่ในแก้ว เสิร์ฟคู่กับค็อกเทลในขวดที่ให้คนดื่มค่อยๆ เทลงบนแก้วอย่างช้าๆ รสชาติเด่นด้วยกลิ่นสโมกเข้มๆ ของกาแฟ ใครที่เป็นคอกาแฟโคลด์บรูว์อยู่แล้วแนะนำให้ลอง
Caffeination (550 บาท)
นอกจากค็อกเทลแล้ว ของรับประทานเล่นในหมวดสแน็กก็ยังมีให้เลือกแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น Lobster Roll (980 บาท) เนื้อล็อบสเตอร์แคนาเดียนแบบเต็มคำฉ่ำซอส เสิร์ฟบนขนมปังบริยอชฝรั่งเศส
Lobster Roll (980 บาท)
หรือจะเป็น Beef Tatar with Sourdough (570 บาท) เมนูที่เอาใจคนรักเนื้อด้วยรสชาติเนื้อคุณภาพที่ปรุงรสเข้มข้น เข้ากันดีเมื่อกินคู่กับขนมปังซาวโดว์ นอกจากนี้แนะนำเป็น Truffled French Fries (290 บาท) เฟรนช์ฟรายส์โรยด้วยชีสพาร์เมซานขูดและผงทรัฟเฟิลหอมๆ ไว้รับประทานเล่นแบบกรุบกริบ
Truffled French Fries (290 บาท)
Beef Tatar with Sourdough (570 บาท)
และที่ขาดไม่ได้เลย คือบรรยากาศสุดกรู๊ฟระหว่างจิบค็อกเทลและรับประทานอาหาร อย่างไลฟ์แจ๊ส ดนตรีแจ๊สสดในสไตล์ Classic Jazz และ Motown Sound จาก Toby & Joy คู่หูโปรดิวเซอร์และนักร้องชื่อดังที่ได้เดินทางโชว์มาทั่วโลกตั้งแต่ยุโรป อเมริกา และเอเชีย ที่จะมาขับกล่อมและบรรเลงบทเพลงแจ๊ส เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษให้ทุกคนเอ็นจอยกับเครื่องดื่มมากกว่าเดิม ในทุกคืนวันพุธถึงคืนวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป
หากใครที่เป็นสาย Jazz Lover และอยากสัมผัสประสบการณ์ดื่มด่ำค็อกเทลคุณภาพยามค่ำคืน มีโอกาสก็สามารถแวะมาแฮงเอาต์แบบหรูหรากันได้ที่ Firefly Bar at Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok บาร์เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00-00.00 น.
Firefly Bar at Sindhorn Kempinski
Open: ทุกวัน เวลา 16.00-00.00 น.
Address: Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok
Budget: 450-1,000 บาท
Contact: 0 2095 9999
Website: www.facebook.com/FireflyBarBangkok
Map: https://g.page/FireflyBarBangkok?share