ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average (DJIA) เปิดตลาดดิ่งลงกว่า 760 จุด สะท้อนภาพหุ้นสหรัฐฯ ขาลงต่อเนื่อง นักลงทุนหวั่น Fed เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยเร็วขึ้น
วันนี้ (13 มิถุนายน) ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average (DJIA) ปรับลดลง 760 จุด หรือ 2.43% ใกล้เคียงสถิติที่เคยปรับลดลงมากสุดเมื่อเดือนมกราคม 2022 โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 3.3% ส่วน Nasdaq ลดลง 3.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วที่ดัชนี Dow Jones ร่วงลง 4.58% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ดิ่งลงกว่า 5%
ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2022 ดัชนี Dow Jones ร่วงลง 13.6% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ดิ่งลง 18.2% และ 27.5% ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่กดดันตลาดมาจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาด ซึ่งอาจทำให้ Fed ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
“การพุ่งขึ้นของดัชนี CPI พื้นฐานจะทำให้ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์นี้ และยืดเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ยาวถึงฤดูใบไม้ร่วง” นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ระบุในรายงาน
ด้านนักวิเคราะห์จาก Barclays และ Jefferies คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมสัปดาห์นี้เช่นกัน
ขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เกิดภาวะ Inverted Yield Curve ขึ้นอีกครั้งในวันนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ดีดตัวสูงกว่าอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า Fed จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 5 ปีได้ดีดตัวสูงกว่าอายุ 10 ปี และ 30 ปีในวันนี้อีกด้วย
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เกิดภาวะ Inverted Yield Curve โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
“ดัชนี CPI เดือนพฤษภาคมแสดงให้เห็นว่ามีสัญญาณเงินเฟ้อที่ยังคงพุ่งสูงขึ้น แม้จะเล็กน้อย แต่เราก็คาดว่าเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงสุดเร็วๆ นี้” เอ็ด ยาร์เดนี (Ed Yardeni) ประธานของ Yardeni Research กล่าว
เขากล่าวเพิ่มว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคต่างก็ย่ำแย่ ขณะนี้ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าโอกาสการเกิด Recession อยู่ที่ 45% จากประมาณการครั้งก่อนที่มีโอกาสเกิด Recession ที่ 40%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP