ครั้งหนึ่งสินค้าที่ถูกตีตราด้วย ‘แบรนด์จีน’ อาจไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่วันเวลาที่เปลี่ยนไป การยอมรับของคนไทยที่มีต่อแบรนด์จีนก็มีมากขึ้น สะท้อนจากแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางแบรนด์จากแดนมังกรที่เข้ามาตีตลาดแดนสยามอย่างต่อเนื่อง ยังมีอยู่แบรนด์หนึ่งที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังของแบรนด์นั้นยิ่งใหญ่สมกับการเป็นแบรนด์จากแดนมังกร ซึ่งแบรนด์ที่ว่าคือ ‘GREE’
THE STANDARD WEALTH จึงอยากชวนมาทำความรู้จัก ‘GREE’ ให้มากขึ้น ว่าอะไรที่ทำให้แบรนด์นี้สามารถติดอันดับมูลค่าในตลาดหุ้นที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง ได้รับการจัดอันดับจาก Fortune 500 ให้เป็นบริษัทจีนอันดับ 1 ที่ให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงสุด และยังติดอันดับบริษัทที่มีผลประกอบการสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกโดย Forbes Global
ความยิ่งใหญ่ของ ‘GREE’
ก่อนอื่นเราขอชวนไปดูความยิ่งใหญ่ของ ‘GREE’ กันก่อน โดย ‘GREE’ นั้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ในประเทศจีน ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง 36.9% ของธุรกิจเครื่องปรับอากาศทั้งหมดในประเทศจีน และเป็นผู้นำติดต่อกันถึง 26 ปี
ที่น่าสนใจคือ ‘GREE’ นั้นมีมูลค่าผลประกอบการรวมในจีนสูงสุดกว่า 5.6 แสนล้านบาท และยังเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไปทั่วโลก โดยมีรายได้จากการขายสินค้าไปทั่วโลกสูงสุดกว่า 1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
GREE จดทะเบียนในตลาดหุ้นของจีน ชื่อว่า Shenzhen Stock Exchange โดยความยิ่งใหญ่ของ GREE ยังสะท้อนได้จากการได้รับการจัดอันดับจาก Fortune Global 500 ในฐานะบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 500 อันดับแรก โดยอยู่ในอันดับ 436 ซึ่งวัดจากยอดขายของบริษัท
และได้รับการจัดอันดับ ‘China Most Admired Company’ โดยอยู่อันดับ 7 และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นแบรนด์สัญชาติจีน นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการจัดอันดับจาก Forbes Global 2000 ในฐานะ ‘World’s Best Employers’ โดยอยู่ในอันดับ 246
ตลอดจนยังคงอยู่ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 500 อันดับแรก โดยวัดจากมูลค่าตลาด, สินทรัพย์, ยอดขาย และกำไรของบริษัทฯ เป็นบริษัทสัญชาติจีนที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงสุดในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงสม่ำเสมอ รวมถึงศักยภาพที่จะเติบโตมากขึ้นในอนาคต
โดย 5 เหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ GREE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ สร้างผลประกอบการและผลตอบแทนต่อนักลงทุนได้สูง มีดังนี้
1. มีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง
การจะสร้างของที่ล้ำสมัยจนถูกอกถูกใจผู้บริโภคนั้น แน่นอนเบื้องหลังย่อมต้องมี ‘คัมภีร์’ อยู่ในมือจำนวนมาก โดย GREE นั้นมีการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมของตัวเองถึง 79,000 สิทธิบัตร และได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมมากมาย นอกจากนี้ GREE ยังมีศูนย์ R&D เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นของตัวเอง
ดังนั้น GREE จึงไม่ได้เพียงจำหน่ายสินค้าออกสู่ตลาดโลก แต่ยังขายนวัตกรรมด้วย จึงไม่ต้องแปลกใจหากรายได้ของ GREE จะมาจากทั้งการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตภายใต้การตีตราแบรนด์ GREE และยังเป็นเบื้องหลังของนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกหลายแบรนด์
2. คิดค้น ‘นวัตกรรม’ เพื่ออนาคต
การคิดค้นสิทธิบัตรนวัตกรรมมากมายของ GREE นั้นถูกคิดค้นเพื่อสร้างอนาคตอย่างแท้จริง สิ่งที่ GREE คิดค้นพัฒนาตอบสนอง Mega Trend ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยความร้อนสู่โลก เทคโนโลยีที่ทดแทนการใช้แรงงาน รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเป็นเทรนด์หลักของโลก
เมื่อโลกตื่นตัวกับเรื่องดังกล่าวมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของชาวโลก นี่เองจึงทำให้ GREE เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับและกวาดรายได้จากทั่วโลก โดยเคยทำรายได้สูงสุดถึง 1 ล้านล้านบาทในปี 2019
3. ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘นวัตกรรม’
สำหรับ GREE ‘นวัตกรรม’ ถือเป็นเรื่องที่องค์กรให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงขนาดกำหนดให้เป็น 1 ในภารกิจสำคัญขององค์กร
ฉายภาพให้ชัดเจนในปี 2020 GREE ได้จดสิทธิบัตรจำนวน 15,072 ใบ นั่นแสดงว่าทุกๆ 1 ชั่วโมง GREE ต้องสร้าง Certificate ของนวัตกรรมใหม่ๆ 1-2 ใบ และเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงรายเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของบริษัทที่จดสิทธิบัตรสูงสุดในประเทศจีน และติดอันดับ Top 10 ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 แล้ว
สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า GREE ไม่เคยหยุด และจะไม่หยุดพัฒนา ทุกนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกพัฒนาต่อยอด ทำลายสถิตินวัตกรรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และนี่คือสิ่งที่ดึงดูดใจนักลงทุนทั่วโลกที่สุด
โดยเบื้องหลังความสำเร็จของการทุบสถิติการพัฒนานวัตกรรมของตัวเองนี้ คือการที่ GREE ให้ความสำคัญกับบุคลากรแผนก R&D โดยในปี 2020 มีบุคลากรฝ่าย R&D คิดเป็นสัดส่วนกว่า 17% ขององค์กรที่มีจำนวนพนักงานทั้งหมดกว่า 80,000 คน ซึ่งเท่ากับว่า GREE มีเจ้าหน้าที่แผนก R&D ถึง 14,458 คน
ซึ่งตัวเลขนี้มากกว่าการนำคู่แข่งขนาดใหญ่ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมารวมกันถึง 3 แห่งด้วยกัน
4. ทุ่มเงินกับการพัฒนา ‘นวัตกรรม’
ด้วยความที่ GREE ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม GREE จึงเป็นบริษัทที่ใช้เงินกับการประชาสัมพันธ์แบรนด์ตัวเองน้อยมาก เมื่อเทียบกับอีกหลายๆ แบรนด์ในตลาด
โดย GREE นั้นทุ่มเทงบประมาณไปกับการพัฒนานวัตกรรมในปี 2020 มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.69% ของยอดขาย มากกว่างบที่ใช้กับการประชาสัมพันธ์เสียอีก
5. มีโรงงานของตัวเอง
สำหรับ GREE ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องปรับอากาศเท่านั้น แต่ GREE ยังมีโรงงานของตัวเองที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือนครอบคลุมทุกประเภท เช่น ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, เครื่องทำน้ำร้อน และหม้อหุงข้าว
และยังครอบคลุมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องฟอกอากาศ พัดลมไอเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ และเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม เช่น แขนจักรกลในโรงงาน รถพลังงานไฟฟ้า รวมถึงสินค้าพลังงานทางเลือก เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ตลอดถึงการผลิตทั้งภายใต้แบรนด์ GREE เอง และรับผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ
ดังนั้น แม้การที่ GREE ทำมากแต่ประชาสัมพันธ์น้อยทำให้ GREE จึงอาจไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ในทางกลับกัน นี่ทำให้ GREE เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงทั้งในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงงานอุตสากรรม ธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก และในหมู่ผู้ใช้ที่บอกต่อถึงสินค้าที่ให้ครบเต็มประสิทธิภาพในราคาที่คุ้มค่ากว่า
ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากการให้ความสำคัญกับ ‘นวัตกรรม’ ที่กลายเป็นเบื้องหลังความสำเร็จ และทำให้ ‘GREE’ ยิ่งใหญ่มาจนทุกวันนี้
อ้างอิง: