ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,240.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 19,450.81 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 2,909.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว 1,373.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 15,167.08 ล้านบาท โดยยังมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์อยู่ที่ 88.6%
ไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) กำไรจากเงินลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 1 ที่เพิ่มขึ้น 15% สาเหตุหลักมาจากการจัดประเภทรายการใหม่ของเงินลงทุนในบริษัทร่วมในปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยไพบูลย์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด
โดยเปลี่ยนประเภทจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเป็นเงินลงทุนในหลักทรัพย์แทน ซึ่งส่งผลให้มีการบันทึกผลขาดทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 แต่ในปีนี้บริษัทไม่มีการจัดประเภทรายการใหม่ในลักษณะดังกล่าวอีกแล้ว
ไชยกล่าวต่อว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทมุ่งเปลี่ยนผ่านองค์กรภายใต้วิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบครบวงจร ทั้งในส่วนของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางจัดจำหน่าย บุคลากร และเทคโนโลยี
สำหรับกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรภายใต้สถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน (Investment-Linked Product) ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) และผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพ (Health Insurance) เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในช่วงที่ผ่านมา ยังคงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน หรือค่าใช้จ่ายในส่วนของผลประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทไม่มีผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยในรูปแบบ ‘เจอ จ่าย จบ’
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีความมั่นคง โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio: CAR) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ 360.57% แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ปี 2565 คือปีที่สำคัญยิ่งของไทยประกันชีวิต เพราะนอกจากเป็นปีที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมาครบ 80 ปี บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของไทย และก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนดังกล่าว ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป”
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP