เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 บมจ.ปตท. (PTT) รายงานกำไรสุทธิ 1Q65 จำนวน 2.56 หมื่นล้านบาท ลดลง 21.5 %YoY และ 7.2%QoQ ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงขึ้น กำไรสุทธิออกมาต่ำกว่าตลาดคาด เนื่องจาก PTT บันทึกขาดทุนจากสัญญาประกันความเสี่ยงจำนวนมากถึง 4.9 หมื่นล้านบาท หลักๆ เกิดจากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น (P&R)
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 26.3%YoY โดยเกิดจากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจก๊าซ (GSP) แต่ลดลง 28.5%QoQ เพราะกำไรจากธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซ ธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจถ่านหินลดลง
รายการสำคัญในผลประกอบการ 1Q65 มีดังนี้
- ราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีช่วยสนับสนุนกำไรจากบริษัทร่วมที่ประกอบธุรกิจ E&P และโรงกลั่น โดยกำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจ E&P เติบโต 138%YoY และ 9%QoQ เพราะราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายสูงขึ้น Market GRM ก็กว้างขึ้นใน 1Q65 โดยได้แรงหนุนจากสมดุลของอุปสงค์-อุปทานในตลาดโลกที่ตึงตัว
การเปลี่ยนมาใช้น้ำมันแทนก๊าซในการผลิตไฟฟ้าก็ช่วยกระตุ้นให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพิ่มขึ้น กำไรจากบริษัทร่วมที่ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอลงทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์
- ปริมาณการขายก๊าซ ลดลง 4%YoY สู่ 4,422 mmcfd เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 4,612 mmcfd เนื่องจากอุปทานจากแหล่งก๊าซที่สำคัญแห่งหนึ่งในอ่าวไทยลดลง (สัมปทานหมดอายุในเดือนเมษายน) ทำให้วัตถุดิบก๊าซของโรงแยกก๊าซปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้า (เพิ่มขึ้น 5%QoQ) ช่วยหนุนให้ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น QoQ
PTT ต้องนำเข้า LNG ในตลาด Spot เพิ่ม (ประมาณครึ่งหนึ่งของ LNG นำเข้าทั้งหมด) ในราคาที่สูงมาก ส่งผลทำให้กำไรจากธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซลดลง หลักๆ เกิดจากก๊าซที่ขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากการปรับราคาขายยังทำได้ช้า นอกจากนี้ธุรกิจก๊าซยังได้รับผลกระทบจากขาดทุนที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ NGV จากการตรึงราคาจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2565 และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ขับขี่เปลี่ยนมาใช้ NGV แทนน้ำมัน
- การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ช่วยหนุนให้ปริมาณการขายของธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มขึ้น 4%QoQ) เมื่อรวมกับอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรที่สูงขึ้น กำไรจากธุรกิจนี้จึงเพิ่มขึ้นมากถึง 76%QoQ ทั้งนี้แม้การที่รัฐบาลขอความร่วมมือให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร มีผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกน้ำมันอยู่บ้าง แต่ถูกชดเชยโดยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 0.98 บาทต่อลิตรใน 4Q64 สู่ 1.14 บาทต่อลิตรใน 1Q65 ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงกำไรสินค้าคงคลัง
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (12 พฤษภาคม 2565) ราคาหุ้น PTT ปรับตัวลง 0.68%DoD อยู่ที่ระดับ 36.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวลง 1.79%DoD อยู่ที่ระดับ 1,584.52 จุด
แนวโน้มผลประกอบการใน 2Q65:
SCBS คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของ PTT จะปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 2Q65 เนื่องจากราคาน้ำมันยังแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไรของธุรกิจ E&P และก๊าซ (GSP) นอกจากนี้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพิจารณาจาก Crack Spread ที่แข็งแกร่งของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน แม้ว่าผลกระทบเชิงบวกของกำไรสินค้าคงคลังจะลดลง QoQ การกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของธุรกิจน้ำมัน
ทั้งนี้ เนื่องจากกำไร 1Q65 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการกำไรเต็มปี จึงคงประมาณการกำไรปี 2565 ไว้ที่ 1.10 แสนล้านบาท ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องติดตามคือความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้มีขาดทุนสต๊อกจำนวนมาก แต่มองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP