ต่อให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะไม่เกิดขึ้น ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งความเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง Non-communicable diseases (NCDs) ที่เกิดจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานอาหารไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย และใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษและฝุ่น PM2.5 ไปจนถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศทั่วโลก
ทว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสยิ่งกระตุ้นเตือนให้คนตระหนักถึงการมีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานในการรับมือกับเชื้อโรคและโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้การท่องเที่ยงเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism ได้รับอานิสงส์จากกระแสการดูแลสุขภาพอย่างมาก
Global Wellness Institute หรือ GWI ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพทั่วโลก (Global Wellness Economy) หลังเกิดกระแสการดูแลสุขภาพ พบว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอีกหลายปี โดยเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9% และคาดว่าจะมีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 หากการแพร่ระบาดจบลง เชื่อว่าหลายประเทศจะหันมาผลักดันตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยว่า ประเทศไทยติดอันดับ 4 ของเอเชียด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รองจากจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ด้วยปัจจัยมากมาย ทั้งสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการพักผ่อน กิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างการนวดไทย แพทย์แผนไทย หรือแม้แต่อาหารไทยที่ดึงเอาคุณสมบัติของสมุนไพรมาช่วยแก้โรค
ยังมีความมหัศจรรย์ในเมืองไทยอีกมากมายที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางด้านสุขภาพของคนทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ ‘น้ำพุร้อนเค็ม’ ความมหัศจรรย์ของทรัพย์ใต้ดินที่ซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
น้ำพุร้อนเค็ม อำเภอคลองท่อม ผุดมาจากชั้นใต้ดินตามธรรมชาติ ไหลออกมาตามรอยแตกของหินและตะกอน เกิดจากการผสมกันของน้ำร้อนและน้ำทะเลในระดับลึก มีปริมาณเกลือผสมอยู่มากกว่า 9 กรัมต่อลิตร ปริมาณแคลเซียม 104 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัมต่อลิตร และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายอีกกว่าร้อยชนิด มีแร่ธาตุหลักคือ โซเดียม คลอไรด์ และแร่ธาตุอื่นๆ อย่างซิลิกา โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์บอเนต โดยมีค่าแร่ธาตุรวมที่มีประโยชน์ หรือ TDS อยู่ที่ 11,690 ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าค่ามาตรฐานทั่วไปที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,000-2,000 เท่านั้น
อุณหภูมิของน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเค็มอยู่ที่ประมาณ 40-47 องศาเซลเซียส จึงเหมาะสำหรับการอาบชำระร่างกาย อีกทั้งส่วนประกอบดังที่กล่าวไป ส่งผลให้น้ำพุร้อนเค็มที่นี่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดความดันโลหิต บรรเทาการปวดกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบของข้อ และยังช่วยผ่อนคลายในรูปแบบการรักษาแบบธาราบำบัด เชื่อว่าสามารถรักษาโรคเบาหวาน โรคทางผิวหนัง และกระตุ้นระบบประสาท การย่อยได้อย่างดี
ด้วยคุณสมบัติของน้ำพุร้อนเค็ม จึงเป็นจุดกำเนิดของ ‘โครงการคลองท่อม เฮอริเทจ (Klongtom Heritage)’ โครงการแรกในเมืองไทยที่นำน้ำพุร้อนเค็มมาเสริมการรักษาร่วมกับการแพทย์สมัยใหม่ โดยมีนักกายภาพ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และแพทย์เฉพาะทาง มาร่วมออกแบบโปรแกรมการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ผนวกเข้ากับการให้บริการมาตรฐานระดับโลก ตอบรับเมกะเทรนด์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพและคนทั่วไปที่สนใจดูแลสุขภาพแบบยั่งยืนได้มาสัมผัสความมหัศจรรย์ของน้ำพุร้อนเค็ม
วิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท คลองท่อมเฮอริเทจ จำกัด
วิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท คลองท่อมเฮอริเทจ จำกัด เผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ติด 1 ใน 5 ของโลก มูลค่าตลาดของ Wellness Tourism ของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้ประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการท่องเที่ยวแบบเดิมๆ ต้องเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมุ่งไปที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับเวิลด์คลาส ครบครันด้วยกิจกรรมที่รองรับผู้รักสุขภาพจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำพาประเทศไทยก้าวสู่ World Health Destination”
บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ ของโครงการจะถูกพัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อจะรักษาความอุดมสมบูรณ์ และบริหารทรัพย์ในดินให้อยู่เคียงคู่กับชุมชน ภายใต้แนวคิดหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ‘For Health’ ส่งมอบความสมบูรณ์ของสุขภาพให้กับทุกคน โดยมีน้ำพุร้อนเค็ม อาหารสุขภาพ อากาศบริสุทธิ์ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้สุขภาวะจิตดี ‘For Community’ ส่งเสริมและสร้างสรรค์องค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนคลองท่อม และ ‘For Sustainability’ เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้สามารถดำรงอยู่คู่กับมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน สร้างทัศนะให้กับผู้คนในชุมชน การใช้พลังงาน การคัดแยกขยะ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ให้เกิดความสมดุลและมีความยั่งยืนในการดำเนินชีวิต
วิชัยย้ำว่า แกนหลักทั้งหมดจะนำมาออกแบบเป็นผังโครงการ โดยแบ่งออกเป็น 10 โซน ได้แก่ 1. Community Market 2. Hotel 3. Town Center 4. Sport Enhancement 5. Spa Medical 6. Agriculture 7. Branded Residences 8. Resort Residences 9. Amataya Residence 10. Amataya Rehabilitation Hospital
ทั้ง 10 โซนจะแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 6 เฟส โดยเฟส 1 ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างและพร้อมเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนนี้ ประกอบไปด้วย Amataya Rehabilitation Hospital, Amataya Holistic Treatment และ Amataya Residence
“Amataya Wellness ถือเป็นหัวรถจักรสำคัญของโครงการคลองท่อม เฮอริเทจ โดยเน้นบริการ 3 ด้าน คือ Amataya Rehabilitation Hospital โรงพยาบาลที่ดูแลสุขภาพองค์รวมเฉพาะทาง เริ่มจากกายภาพบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยด้วยโรคสโตรกก่อน พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีการดูแลผู้ป่วยให้สามารถสื่อสารกับครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก อีกด้านคือ Amataya Holistic Treatment เป็นการบริหารแบบป้องกัน ให้บริการด้วยการดูแลแบบองค์รวมสำหรับผู้รักสุขภาพ โดยใช้น้ำพุร้อนเค็ม และด้านสุดท้ายเป็น Amataya Residence โครงการที่พักอาศัยที่ออกแบบผสมผสานการใช้ชีวิตให้เข้ากับธรรมชาติ มาพร้อมกับบ่อน้ำพุร้อนเค็มทุกหลัง เพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้คุณได้ทุกวัน” วิชัยกล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น รายชื่อพันธมิตรที่เข้าร่วมเดินหน้าโครงการเมืองสุขภาพแห่งนี้น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลทีอาร์พีเอช (TRPH), โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์), ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง Ishii และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ Bangkok Healthcare Service (BHS)
“เฟส 2 จะเป็นส่วนของ Community Market, Hotel และ Town Center คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2024 ซึ่ง Town Center ถือเป็นอีกจุดไฮไลต์ เนื่องจากเป็นจุดที่อยู่กึ่งกลางของโครงการและเป็นจุดที่สูงที่สุด เรียกว่า เนินสุริยะเทพ วางแผนสร้างคาเฟ่น้ำตกร้อนเค็มแห่งแรกของไทย โดยดีไซน์ให้เป็นน้ำตกลดหลั่นกัน ผู้ที่มาใช้บริการสามารถจิบเครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารไปพร้อมกับแช่เท้าได้ นอกจากนั้นบริเวณ Town Center จะมีคลองรอบล้อมประมาณ 1 กิโลเมตรสำหรับพายเรือคายัค และยังมีลู่วิ่งรวมถึงทางเดินสาธารณะ”
“ในเฟส 3 ปี 2025 เราจะเปิด Spa Medical และเฟส 4 ในปีถัดมาจะเปิด Branded Residences และเฟส 5 จะเป็น Sport Enhancement เปิดให้บริการปี 2027 โดยจะเปิดให้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บตัวนักกีฬาและฟื้นฟูสมรรถนะของนักกีฬาเป็นหลัก สำหรับเฟส 6 ค่อนข้างพิเศษตรงที่เราตั้งใจเปิดให้บริการโซน Resort Residences ในปี 2028 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงาน Phuket Expo 2028 ถือเป็นงานด้านเวลเนสระดับโลกที่จะมีผู้เข้าร่วมงานจากทุกมุมโลก เชื่อว่าจะเป็นจังหวะที่ลงตัวและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ภายในโครงการคลองท่อม เฮอริเทจ ได้ครบทุกโซน ที่สำคัญโครงการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจเวลเนสอันดามัน (Andaman Wellness Economic Corridor: AWC) ได้อย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น” วิชัยกล่าว
นอกจากความมหัศจรรย์ที่จะได้พบภายในโครงการคลองท่อม เฮอริเทจ การสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชุมชนเมืองก็เป็นสิ่งที่น่าชื่มชมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความใส่ใจกับการสร้างระบบนิเวศคืนกลับสู่ธรรมชาติ โดยฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวด้วยพันธุ์ไม้ท้องถิ่น ตั้งแต่ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้เรือนร่าง และไม้คลุมดิน เพื่อฟื้นคืนระบบนิเวศให้สัตว์ท้องถิ่นที่กำลังจะสูญพันธุ์ได้มีที่อยู่อาศัยอีกครั้ง ซึ่งหากเห็นผลจริง โครงการคลองท่อม เฮอริเทจ น่าจะกลายเป็นต้นแบบในการพัฒนาที่ดินให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวของทุกจังหวัดในประเทศไทย
สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ เดือนมิถุนายนนี้เตรียมพบกับ Amataya Rehabilitation Hospital, Amataya Holistic Treatment และ Amataya Residence ภายในโครงการคลองท่อม เฮอริเทจ กันได้เลย
“นักลงทุนที่สนใจจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพ ทางโครงการพร้อมเปิดรับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ร่วมพัฒนาโครงการมูลค่า 13,700 ล้านบาท เพื่อปักหมุดให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นเมืองสุขภาพระดับโลก Word Health Destination แห่งใหม่ไปด้วยกัน เชื่อมั่นว่าการเที่ยวในรูปแบบ Medical Tourism และ Health and Wellness Tourism มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 80,000-120,000 บาทต่อครั้ง ดังนั้นการส่งเสริมและขยายการท่องเที่ยวในกลุ่มนี้จะเป็นส่วนที่สร้างรายได้ให้มีเสถียรภาพ และทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับนานาชาติได้อย่างแน่นอน” วิชัยกล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง: