สัปดาห์ก่อนเมื่อครั้งจบเกมที่แอนฟิลด์ อูไน เอเมรี ให้คำมั่นกับ เจอร์เกน คล็อปป์ และทีมลิเวอร์พูลของเขาว่าเมื่อใดที่กลับมาเยือนเอสตาดิโอเดลาเซรามิกา ชื่อสนามที่แทบไม่มีใครเรียกเพราะจำกันแต่ในชื่อ ‘เอลมาดริกัล’ พวกเขาจะได้พบกับบียาร์เรอัลที่แท้จริงที่จะแตกต่างออกไป
คำพูดของเอเมรีนั้นหลายคนไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่เห็นและเป็นจริงตลอด 90 นาทีที่แอนฟิลด์คือความห่างชั้นกันเกินไประหว่างสองสโมสร
ในเกมนั้นเหล่า ‘Amarillo el Submarino’ หรือ The Yellow Submarine – สมญาของสโมสรที่ตั้งตามชื่อเพลงฮิตของ The Beatles ที่แฟนฟุตบอลวัยรุ่นนำมาร้องปลุกใจในฤดูกาล 1967/68 ซึ่งทีมกำลังลุ้นเลื่อนชั้นจากดิวิชัน 3 สเปน – มีโอกาสจบสกอร์เข้ากรอบเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และในภาพรวมของเกมแล้วพวกเขาเป็นรองแทบทุกจุด
พิธีกรรายการ talkSPORT คนหนึ่งถึงกับหยามหยันว่าไม่รู้ว่าบียาร์เรอัลผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้อย่างไร? พวกเขาดูไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของลิเวอร์พูลเลยแม้แต่น้อย
แต่เอเมรีได้พิสูจน์สิ่งที่เขาพูดแล้วว่าเป็นความจริง กับช่วงเวลา 45 นาทีที่มหัศจรรย์ที่สุดที่จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของสโมสรจากเมืองเล็กๆ ในแคว้นอันดาลูเซียทางตอนใต้ของสเปนที่มีประชากรเพียงแค่ 50,000 คน
นักเตะบียาร์เรอัลใช้ผลงานในสนามตอบคำถามของพิธีกร talkSPORT ด้วยการเดินหน้าบดขยี้ลิเวอร์พูล ทีมที่กำลังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดทีมไม่ใช่แค่ยุคสมัยแต่อาจหมายถึงตลอดกาล บดจนละเอียดแทบไม่เหลือชิ้นดี
องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งคือประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 3 ที่มาจากการเซ็ตบอลเข้าทำที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องก่อนที่ลูกครอสจากฝั่งซ้ายของ เปร์วิส เอสตูปินญาน ข้ามมาถึงเสาไกล โดยมี เอเตียนน์ กาปู วิ่งแลบขึ้นมาในจังหวะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คาดไม่ถึงทำให้ช้าไปครึ่งจังหวะ
ในจังหวะนี้แทนที่กาปูจะเลือกยิงประตูเองซึ่งอาจไม่ได้ผลเพราะมุมแคบ และจังหวะนี้ยากต่อการกำหนดท่าทาง (Composure) อดีตนักเตะวัตฟอร์ดก็เลือกจะตบบอลไปเสาไกลให้ บูลาย ดิอา กองหน้าซึ่งชิงจังหวะขยับก่อน อิบราฮิมา โกนาเต ก่อนจะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม
ประตูนี้เป็นหนังตัวอย่างสำหรับสิ่งที่ลิเวอร์พูลจะเผชิญไปตลอดครึ่งแรก นั่นคือการที่พวกเขาจะช้ากว่าคู่แข่งเสมอไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วในการเล่น แต่ยังมีเรื่องของความคิดในการเล่นที่บียาร์เรอัลจะนำหน้าพวกเขาหากไม่ใช่หนึ่งก็ต้องมีครึ่งจังหวะเป็นอย่างน้อย
แม้กระทั่งศิลปินลูกหนังที่อยู่ในช่วงท็อปพีคอย่าง ติอาโก อัลกันตารา ที่ไม่ว่าจะลงเล่นเจอใครก็ดูเหมือนง่ายไปหมดก็ยังออกบอลผิดและพลาด ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในการเล่นของบียาร์เรอัลที่สูงจนทำให้ลิเวอร์พูลนั้นช็อกรับมือไม่ถูก
Pressing และ Counter-Pressing ที่เป็นของถนัดสำหรับทีมจากอังกฤษซึ่งมีความฝันไล่ล่า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว ถูกย้อนเกล็ดเข้าอย่างจัง มีหลายครั้งที่พวกเขาโดนบีบจนพลาดเสียบอลในแดนตัวเอง และสุดท้ายนำไปสู่โอกาสของบียาร์เรอัล
หนึ่งในนั้นคือลูกน่ากังขาที่ นาบี เกอิตา โดนบีบจนจ่ายกลับหลังพลาด เคราร์ด โมเรโน ศูนย์หน้าตัวเก่งของเจ้าบ้านไหลต่อให้ โจวานี โล เชลโซ หลุดทะลุขึ้นมาก่อนแตะหลบอลิสสันไปแล้วแต่โดนขวางไว้ จังหวะนี้ผู้ตัดสินชาวดัตช์ แดนนี แม็คเคลี ยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ให้เป็นลูกจุดโทษ แม้ว่าจากภาพช้าแล้วหากจะให้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด
แต่ที่สุดแล้วบียาร์เรอัลก็ทวงทุกอย่างคืนจากเกมนัดแรกกลับมาได้สำเร็จในช่วงท้ายครึ่งแรกจากกาปูเจ้าเก่าที่หลอก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จนหลงทางก่อนจะตวัดเปิดบอลด้วยซ้ายข้ามไปที่เสาไกล – ซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางในแนวรับของลิเวอร์พูลที่หลายทีมค้นพบและเริ่มใช้เล่นงานได้ – คราวนี้เป็น ฟร็องซิส โกเกอแล็ง อดีตนักเตะอาร์เซนอลที่สอดขึ้นมาเทคตัวขึ้นโขกเข้าไป
จากการตามหลัง 0-2 ในเกมแรกบียาร์เรอัลทวงสกอร์กลับมาเป็น 2-2 ได้สำเร็จในเวลาแค่ 45 นาที โดยที่บรรยากาศในสนามที่ร้อนแรงแม้ว่าก่อนเกมจะมีสายฝนโหมกระหน่ำอย่างหนักลงมาทั้งวัน มันพานให้คิดถึงเกมมหัศจรรย์ในรอบรองชนะเลิศที่แอนฟิลด์เมื่อ 3 ปีก่อน
ครั้งนั้นลิเวอร์พูลก็พ่ายบาร์เซโลนาหมดรูปในเกมแรกเหมือนกันและตามหลังด้วยผลต่างถึง 3 ประตู แต่พวกเขาก็ได้ประตูเร็วในเกมที่แอนฟิลด์ และมาเร่งเครื่องในช่วงครึ่งหลังทำอีก 3 ประตูพาทีมเข้าชิง กลายเป็นหนึ่งในเกมระดับตำนานที่ผู้คนจดจำ – รวมถึงเสื้อ Never Give Up ที่ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนามเพราะมีอาการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจากเกมนัดก่อนหน้าสวมมาให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม
สิ่งที่ได้เห็นนั้นหากลิเวอร์พูลจะโดนกระทำแบบเดียวกันบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ บียาร์เรอัลพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็มีดี และการผ่านด่านยูเวนตุสกับบาเยิร์น มิวนิกมาได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ – อย่าลืมว่าพวกเขาก็มาในฐานะแชมป์ยูโรปา ลีกด้วยการล้มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปีกลายด้วย
เพียงแต่ลิเวอร์พูลมี เจอร์เกน คล็อปป์ และบอสชาวเยอรมันคือคนที่นำสติกลับมาสู่ลูกทีมอีกครั้ง พร้อมกับปรับแท็กติกของทีม บิดและเขย่านิดหน่อยในสิ่งที่เขาพอทำได้
ไพ่ใบแรกที่คล็อปป์เลือกใช้ในเกมนี้คือการส่ง หลุยส์ ดิอาซ ปีกพ่อมดชาวโคลอมเบียลงสนามแทนที่ของ ดีโอโก โชตา ที่แผลงฤทธิ์ไม่ออกเมื่อต้องยืนเป็นศูนย์หน้าตัวกลางในเกมนี้ โดยขยับเอา ซาดิโอ มาเน ที่ปรับตัวเข้ากับการยืนเป็น ‘False Nine’ ในรูปแบบที่แตกต่างจาก โรแบร์โต เฟอร์มิโน เพื่อนซี้
การลงมาของดิอาซ การขยับเข้าไปยืนตรงกลางของมาเน และการขยับตำแหน่งขึ้นสูงไปอีกนิดของ นาบี เกอิตา ช่วยให้รูปทรงของทีม (Shape) เริ่มกลับมา
โดยเฉพาะปีกที่ถูกซื้อมาจากปอร์โตในช่วงตลาดเดือนมกราคม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดเพราะความเร็ว ความกล้าหาญ ชั้นเชิงการเล่น และทัศนคติของดิอาซที่ไม่ยอมแพ้เป็นตัวจุดประกายทีมได้เป็นอย่างดีไม่ใช่แค่เรื่องของแท็กติกการเล่น ซึ่งเกมนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาลงมาช่วยสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่นำพวกเขากลับมาได้คือสิ่งที่เรียกว่า ‘Mentality Monster’ ที่คล็อปป์ฝังเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจนักเตะชุดนี้ อสูรกายที่ซ่อนเร้นอยู่และพร้อมจะถูกปลุกขึ้นมาเพียงแค่การดีดนิ้วครั้งเดียวของกุนซือชาวเยอรมันหรือการส่งเสียงเพรียกของแฟนบอลในสนาม
Mentality Monster นั้นไม่ใช่การกำหนดจิตเพื่อคิดถึงแต่ชัยชนะ แต่เป็นการกำหนดจิตเพื่อคิดถึงความพยายามในการทำหน้าที่ของทุกคน ตอนนี้เราทำหน้าที่กันได้ดีหรือยัง? ทำไมเราถึงตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้? แล้วเราจะเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นความท้าทายได้อย่างไร เพื่อที่จะคว้ารางวัลที่อยู่ตรงหน้าให้ได้
ความคิดแบบนี้เองที่ทำให้ลิเวอร์พูล – หากไม่นับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ก็กลายเป็นทีมที่แทบจะไร้เทียมทาน เพราะเมื่อทุกคนพยายามไปด้วยกันพลังที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นสิบและสิบที่ทวีคูณด้วย ซึ่งด้วยพลังนี้ทำให้พวกเขาก้าวข้ามเรื่องขีดจำกัดพรสวรรค์การเล่นและอุปสรรคใดๆ ก็ตามที่คู่แข่งพยายามขัดขวาง
อสูรกายที่ถูกปลุกขึ้นทำให้พวกเขาอาศัยช่วงจังหวะเวลาที่บียาร์เรอัลลดความเข้มข้นในเกมของตัวเองลง – ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลทางแท็กติกที่ต้องการความรัดกุม การบาดเจ็บของโมเรโนที่ส่งผลทำให้แดนหน้าไม่มีใครเก็บบอลและสร้างโอกาสได้ หรือเพราะหมดแรงหลังจากที่กระทืบคันเร่งอย่างหนักจนน้ำมันหมดถัง – ลิเวอร์พูลค่อยๆ กลับมาสู่เกมของตัวเองได้อย่างช้าๆ
การออกบอลที่ไร้ทิศทางกลับมาแม่นยำ การเคลื่อนที่ไปยังที่ว่างโดยเฉพาะบริเวณ ‘พื้นที่กึ่งกลาง’ (Half-Space) ที่ไม่มีเลยในครึ่งเวลาแรกเริ่มกลับมา และนำไปสู่โอกาสในการท้าทาย เคโรนิโม รูยี ผู้รักษาประตูบียาร์เรอัล และแนวรับแบ็กโฟร์ของพวกเขา
ก่อนที่ปราการจะพังทลายลงแบบง่ายๆ เมื่อฟาบินโญขยับเติมขึ้นไปยังที่ว่างเพื่อรับบอลจากซาลาห์ในกรอบเขตโทษก่อนจะตัดสินใจยิงยัดและบอลลอดขารูยีเข้าประตูไป
ลูกยิงนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพราะทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาสู่เกมของตัวเองอย่างสมบูรณ์ สวนทางกับบียาร์เรอัลที่รู้ตัวว่าพวกเขาจะต้องเร่งเครื่องขึ้นอีกและทำให้ได้อย่างน้อย 1 ประตูหากอยากรักษาความหวังเพื่อไปวัดกันในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
แต่ถึงใจจะปรารถนา แข้งขาของพวกเขาก็ขยับแทบไม่ไหวแล้ว บียาร์เรอัลอ่อนแรงลงชัดเจนและนำไปสู่ประตูตีเสมอของ หลุยส์ ดิอาซ จากการเปิดแบบย้อนเกล็ดเหมือนกันของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่เร่งฟอร์มขึ้นมาในครึ่งหลังแบบคนละคน ด้วยการตวัดด้วยซ้ายเข้าไปตรงกลางประตูให้ดิอาซสอดขึ้นมาโขกผ่านรูยีซึ่งเสียท่าอีกครั้ง
และรูยีก็เจอฝันร้ายเป็นครั้งที่ 3 เมื่อแนวรับขยับขึ้นสูงเกินไปแล้วโดนสวนกลับ สุดท้ายโดนมาเนโฉบเอาบอลไปก่อนลากหนีและเลือกยิงอย่างเยือกเย็น
ใน 3 ประตูที่เสียไปเป็นเรื่องน่าคิดว่าหากรูยีมีฝีมือแก่กล้า เก๋า และมีจิตใจที่เข้มแข็งกว่านี้บางทีเขาอาจจะป้องกันได้ทั้ง 3 ลูก เพียงแต่ประตูชาวอาร์เจนไตน์วัย 29 ปีก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเพื่อนบียาร์เรอัลทุกคนที่เหลือ
พวกเขาไม่อาจต้านทานอสูรกายสีแดงจากเมอร์ซีย์ไซด์ได้ไหว และลิเวอร์พูลก็ผ่านเข้ารอบต่อไปอย่างคู่ควร
ขั้นต่ำที่สุดสำหรับชาวเรือดำน้ำสีเหลือง อย่างน้อยพวกเขาก็มี ‘45 นาทีในตำนาน’ ให้ลูกหลานได้จดจำ กับเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งทีมจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้เคยเกือบเข้าใกล้กับการได้เข้าชิงแชมป์ถ้วยใบใหญ่ของยุโรป
ไม่มีอะไรต้องเสียใจสำหรับทีมของเอเมรี พวกเขาทำดีที่สุดแล้วและปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่คู่แข่งของพวกเขาคือลิเวอร์พูล ทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ และยังไม่ยอมละสายตาจากถ้วยแชมป์ที่เหลืออีก 3 ใบแม้แต่วินาทีเดียว
- ลิเวอร์พูลรอจะพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเรอัล มาดริดที่จะลงสนามคืนนี้ โดยที่ โม ซาลาห์ ยอมรับตรงไปตรงมาว่าเขาอยากเจอคู่ปรับเก่าจากสเปนที่เคยฝากรอยแผลไว้ในปี 2018 มากกว่า
- ลิเวอร์พูลลงสนามไปแล้ว 57 เกม และจากนี้จะเหลืออีก 6 นัดด้วยกัน รวมเป็น 63 นัด เป็นจำนวนเกมที่มากที่สุดเท่าที่ทีมฟุตบอลอังกฤษทีมหนึ่งจะลงสนามได้ใน 57 เกมนี้ลิเวอร์พูลยิงประตูไปแล้ว 139 ลูก