สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ‘เนสท์เล่’ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ทางบริษัทได้ปรับขึ้นราคาสินค้าแล้วมากกว่า 5% เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องส่งผ่านภาระดังกล่าวไปยังผู้บริโภคในตลาด
ในรายงานรายได้และผลประกอบการบริษัทประจำไตรมาสแรกระบุว่า ผู้บริโภคในอเมริกาเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยราคาเพิ่มขึ้น 8.5% ตามด้วยผู้บริโภคในแถบลาตินอเมริกาที่ราคาสินค้าของเนสท์เล่มีการปรับเพิ่มขึ้น 7.7%
ด้าน มาร์ก ชไนเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของเนสท์เล่ ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าอีกระลอก โดยย้ำว่าการขึ้นราคาสินค้าล้วนคำนึงถึงภาระหน้าที่ของผู้บริโภค เป็นการดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ และคิดถึงความต้องการบริโภคในระยะยาว ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับราคาเพิ่มเติม รวมถึงหามาตรการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบตลอดทั้งปี
ความเคลื่อนไหวของเนสท์เล่ในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขสะท้อนเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8.5% แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของยุโรปก็อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่ 7.5% ทำสถิติแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่สหภาพยุโรปเริ่มเก็บข้อมูลเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ สาเหตุหลักๆ ของเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมาจากราคาพลังงาน กระนั้นราคาอาหารก็มีบทบาทดันเงินเฟ้อเช่นเดียวกัน
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP