คงไม่มีใครอยากให้ปัญหาสิวเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่บางครั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงให้เกิดสิว รวมถึงความแปรปรวนของสมดุลฮอร์โมน ก็ทำให้สิวสามารถเกิดขึ้นได้แม้เราจะไม่ต้องการ แต่เมื่อสิวเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรักษาอย่างถูกวิธี ทายารักษาสิวอย่างต่อเนื่องโดยคำแนะนำของแพทย์ และยังต้องควบคุมตัวเองให้ใช้ชีวิตอย่างถูกสุขลักษณะมากขึ้น การปรับตัวเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาสิวจึงเป็นด่านแรกที่สำคัญ แต่ไม่ได้แปลว่าเมื่อสิวหายแล้วจะจบ เพราะยังมีปัญหาอื่นที่ตามมากวนใจคือ รอยแผลเป็นจากสิว THE STANDARD POP ได้คัดสรรวิธีแก้ปัญหาและรักษารอยแผลเป็นจากสิวมาฝากทุกคน
รู้จัก 3 ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว
1. รอยแดง เกิดขึ้นได้จากตอนเป็นสิวแล้วเกิดการอักเสบ และเมื่อสิวหายแล้วก็จะยังคงรอยแดง ซึ่งต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะหายไปได้ และผิวบริเวณที่เป็นรอยแดงนี้จะมีความอ่อนแอสูง ดังนั้นถ้าไม่ปกป้องดูแลดีๆ มีโอกาสสูงมากที่จะเลยเถิดกลายเป็นกระได้หากต้องเผชิญกับรังสี UV บ่อยๆ
การรักษารอยแดงจากสิว
ทำได้โดยดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน C หรือถ้าจะพึ่งคลินิก สามารถทำไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้านำยาหรือสารเคมีลงสู่ผิวหนัง สามารถใช้ร่วมกับวิตามินซีเพื่อรักษารอยแดงและเสริมสร้างผิวที่กระจ่างใสได้ดี
2. กระ หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า หลังการเป็นสิวแล้วจะเป็นกระตามมาได้ด้วยหรือ แพทย์ผิวหนังชาวญี่ปุ่นอธิบายว่า หลังเกิดการอักเสบ รอยแดงจะเป็นกระสีน้ำตาล เมื่อเวลาผ่านไปอาจจางหายไปหรืออาจคงอยู่ก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลผิวหลังจากเป็นสิวนั่นเอง
การรักษารอยกระหลังจากเกิดสิว
ทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสหรือผลัดเซลล์ผิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการทำเลเซอร์จะเห็นผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นกว่าการทาครีมบำรุง
3. หลุมสิว เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่ที่สุดและน่าหนักใจที่สุด เพราะการอักเสบของสิวจะทำลายรูขมขน ทำให้ผิวหนังยุบตัวและเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้ง่ายมาก จึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ 100% สามารถทำได้เพียงฟื้นฟูให้ดีขึ้นเท่านั้น
การรักษาหลุมสิว สามารถฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้ด้วยเลเซอร์, การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี, การใช้กรดลอกผิว, การใช้ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามิน C, การฉีดสารเติมเต็มหรือฉีดฟิลเลอร์ ฯลฯ ซึ่งวิธีการและทางเลือกที่กล่าวมาข้างต้นจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพหลุมสิวและหาวิธีที่เหมาะสมในการรักษาฟื้นฟูหลุมสิวให้ดีขึ้น
การเลือกส่วนผสมในสกินแคร์ที่มีส่วนช่วยในการลดรอยแผลเป็นจากสิวสามารถเช็กได้จากส่วนผสมสำคัญที่เด่นๆ ดังต่อไปนี้
1. กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบที่พบได้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เป็นสิว กรดซาลิไซลิกช่วยลดอาการบวมและรอยแดงในบริเวณสิว และมีส่วนช่วยลดการเกิดแผลเป็นได้ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอาจต้องทดสอบผลิตภัณฑ์ที่มีกรดนี้กับผิวในพื้นที่เล็กๆ ก่อนใช้ให้ทั่วใบหน้า เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้
2. เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์บางชนิดมีคุณสมบัติช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวได้ จากรายงานในวารสาร Dermatology and Therapy Trusted Source Note พบว่า เรตินอยด์สามารถช่วยป้องกันการอักเสบ ลดรอยต่างๆ จากสิว และเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ไปในตัว โดยในคนที่มีรอยแผลเป็นจากสิวก็สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวที่มีรอยดำจางลงได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมจากเรตินอยด์ สามารถทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ใครก็ตามที่ใช้เรตินอยด์ในการรักษาสิวหรือรอยแผลเป็นควรทาครีมกันแดดเมื่อออกไปข้างนอกเป็นประจำด้วย
3. กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids: AHAs) สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและป้องกันรูขุมขนอุดตัน แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้ใช้ AHA ร่วมด้วยในการรักษาสิวและลดรอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งคุณสมบัติของ AHAs เป็นกรดอ่อนๆ ที่สามารถผลัดผิวชั้นนอกออกเพื่อเผยให้เห็นผิวใหม่ที่อยู่ข้างใต้ กระบวนการนี้อาจช่วยในการเปลี่ยนสีผิวอันเนื่องมาจากรอยแผลเป็น
4. กรดแลคติก (Lactic Acid) สามารถทำหน้าที่เป็นเปลือกที่อ่อนโยนเพื่อดึงเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป อาจช่วยลดรอยแผลเป็นและทำให้เนื้อสัมผัสโดยรวมของผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น นอกจากนี้กรดแลคติกอาจช่วยให้เนื้อเยื่อแผลเป็นสีเข้มแลดูจางลง แม้ว่าบางครั้งอาจทำให้เกิดรอยดำบ้าง (จากผลการศึกษาบางแห่ง) ทางที่ดีจึงควรทดสอบผลิตภัณฑ์ที่มีกรดแลคติกบนผิวหนังเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิว
อ้างอิง: