- สถานการณ์สู้รบในยูเครนจนถึงตอนนี้เข้าสู่วันที่ 22 แล้ว โดยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมายังมีรายงานการโจมตีจากฝ่ายรัสเซียเกิดขึ้นต่อเนื่องในหลายเมือง แม้จะยังไม่มีความคืบหน้าในการรุกคืบเข้าสู่กรุงเคียฟ
- โดยในกรุงเคียฟเมื่อวานนี้ยังมีรายงานการปะทะอย่างดุเดือดระหว่างทหารรัสเซียและยูเครนเกิดขึ้นหลายครั้ง ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งกองทัพยูเครนระบุว่า สามารถต้านทานการโจมตีจากรัสเซียไว้ได้
- ขณะที่ล่าสุดเช้ามืดวันนี้ (17 มีนาคม) มีรายงานว่า เกิดเหตุเศษขีปนาวุธที่หล่นลงมา ระเบิดใส่อาคารอะพาร์ตเมนต์หลังหนึ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย
- อีกจุดสำคัญที่สถานการณ์เป็นไปอย่างดุเดือดคือ ที่เมืองมารีอูโปล เมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ ซึ่งถูกกองทัพรัสเซียปิดล้อมและพยายามบุกยึดครองมาหลายวัน โดยมีรายงานจากทางกระทรวงต่างประเทศยูเครนว่า รัสเซียตั้งใจโจมตีโรงละครแห่งหนึ่งซึ่งมีพลเรือนกว่า 1,200 รายใช้เป็นที่พักพิง ซึ่งแรงระเบิดจากการโจมตี ทำลายพื้นที่ส่วนกลางของโรงละครและทำให้มีผู้คนจำนวนมากถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ขณะที่ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บได้ เนื่องจากการโจมตียังไม่ยุติ
- นอกจากนี้ทางการยูเครนรายงานว่า รัสเซียยังได้โจมตีทางอากาศถล่มที่พักพิงของพลเรือนจุดที่ 2 คือ อาคารสระว่ายน้ำชื่อว่า Neptune Pool ซึ่งมีทั้งหญิงตั้งครรภ์และเด็กหลายคนอยู่ภายใน โดยสำนักข่าว CNN ยืนยันรายงานการโจมตีดังกล่าว ซึ่งทำให้ตัวอาคารถูกทำลาย แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
- เมลินดา ซิมมอนส์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำยูเครน ทวีตข้อความประณามการโจมตีโรงละครในมารีอูโปลว่า เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม เนื่องจากโรงละครแห่งนี้เป็นที่พักพิงของพลเรือน ซึ่งรวมถึงเด็กๆ หลายคน และถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามอย่างชัดเจนของกองทัพรัสเซีย
- กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเปิดเผยข้อมูลข่าวกรองพบว่า กองทัพรัสเซียนั้นใช้อาวุธที่เก่าและมีความแม่นยำในการโจมตีที่น้อย รวมถึงมีประสิทธิภาพทางการทหารน้อยกว่า ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดการโจมตี ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บมากขึ้น
- ที่เมืองเชอร์นิฮิฟ ทางตอนเหนือ มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (16 มีนาคม) กองทัพรัสเซียได้ยิงปืนใหญ่โจมตีใส่กลุ่มพลเรือนที่กำลังต่อแถวซื้อขนมปัง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 13 ราย
- ส่วนที่คาร์คิฟ เมืองใหญ่อันดับ 2 ทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีรายงานว่า รัสเซียยังคงระดมยิงปืนใหญ่โจมตีภายในเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่ทางกองกำลังทหารยูเครนภายในเมืองยังไม่มีแนวโน้มจะยอมแพ้
- ขณะที่เมืองโอเดสซา ทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งติดกับทะเลดำ พบว่า เรือรบของรัสเซียได้ระดมยิงปืนใหญ่โจมตี แต่ยังไม่มีการส่งกำลังทหารภาคพื้นดินบุกเข้าภายในเมือง
- ที่เมืองเมลิโตโปล ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ทหารรัสเซียได้ลักพาตัว อิวาน เฟเดรอฟ นายกเทศมนตรีของเมืองไป ล่าสุดมีรายงานจากที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครนว่า กองทัพรัสเซียยอมปล่อยตัวเขาแล้ว โดยเป็นการแลกเปลี่ยนนักโทษกับทหารเกณฑ์ของรัสเซีย 9 นายที่กองทัพยูเครนจับตัวไว้
- ทางด้าน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน เผยแพร่คลิปวิดีโอแถลงการณ์ผ่าน Facebook ช่วงเช้าวันนี้ (17 มีนาคม) ระบุว่า การอพยพพลเรือนออกจากเส้นทางฉนวนมนุษยธรรมในเมืองต่างๆ นั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากกองทัพรัสเซียไม่หยุดการโจมตี “เราพร้อมที่จะพาประชาชนออกไปและส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แต่เราไม่สามารถนำประชาชนออกไปโดนระเบิดบนถนนได้” เซเลนสกีกล่าว
- ก่อนหน้านี้ในการแถลงช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เซเลนสกีได้ย้ำข้อเรียกร้องให้ทั่วโลกรับรองรัสเซียว่าเป็น ‘รัฐก่อการร้าย’ และเพิ่มการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย รวมถึงประกาศเขตห้ามบินในยูเครน พร้อมอ้างว่า ฝ่ายรัสเซียนั้นเผชิญความสูญเสียจากการทำสงครามในยูเครนมากกว่าสงครามในซีเรีย เชเชน หรืออัฟกานิสถาน
- เซเลนสกียังชี้ถึงสิ่งสำคัญในการเจรจาสันติภาพกับรัสเซียซึ่งเขาระบุว่า เป็นการ “รับประกันและคุ้มครองยูเครนอย่างแท้จริง” ได้แก่ การยุติสงคราม, การรับประกันความปลอดภัย, อำนาจอธิปไตยของยูเครน และการฟื้นฟูบูรณภาพแห่งดินแดน
- ขณะที่เซเลนสกียังได้กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบประชุมทางไกลไปยังสภาคองเกรสสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ โดยเรียกร้องความช่วยเหลือทางการทหารและการประกาศเขตห้ามบินจากสหรัฐฯ และ NATO พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์โศกนาฏกรรมระดับโลก อย่างการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และเหตุวินาศกรรม 9/11 ว่าเป็นสิ่งที่ยูเครนเผชิญอยู่ทุกวัน นับตั้งแต่เกิดสงครามตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
- นอกจากนี้เซเลนสกีได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว ABC News ว่า หากการโจมตีด้วยอาวุธเคมีคือ เส้นตายที่จะทำให้สหรัฐฯ มีส่วนร่วมมากขึ้นในการต่อสู้กับรัสเซีย ในตอนนี้เขาก็เชื่อว่า “รัสเซียได้ข้ามเส้นตายทั้งหมดแล้ว นับตั้งแต่เริ่มโจมตีพลเรือนและสังหารเด็กไปมากกว่า 100 ราย”
- ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ประณามประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ว่าเป็นอาชญากรสงคราม พร้อมประกาศคำมั่นเพิ่มความช่วยเหลือด้านความมั่นคงต่อยูเครนมูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนระบบต่อต้านอากาศยาน Stinger 800 ชุด โดรน 100 ลำ พร้อมด้วยเครื่องยิงระเบิด อาวุธต่อต้านยานเกราะ ตลอดจนปืนและกระสุนพร้อมเสื้อเกราะอีกจำนวนมาก
- ขณะที่ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลเครมลิน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว TASS ตอบโต้ โดยระบุว่า วาทกรรมอาชญากรสงครามของไบเดนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้และไม่สามารถยกโทษให้ได้
“เราเชื่อว่าวาทกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และยกโทษให้ไม่ได้ สำหรับประมุขแห่งรัฐ ซึ่งใช้ระเบิดคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปหลายแสนราย” เขากล่าว
- ส่วนความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพ วลาดิเมียร์ เมดินสกี หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของรัสเซีย เปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์ของทางการรัสเซีย ถึงความหวังในการประนีประนอม โดยระบุว่า ฝ่ายยูเครนได้เสนอที่จะเป็นรัฐที่มีสถานะเป็นกลางและมีกำลังทหารแบบจำกัด เช่นเดียวกับออสเตรีย ซึ่งรัสเซียกำลังพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว ขณะที่โฆษกรัฐบาลเครมลินมองว่า ตัวเลือกนี้อาจเป็น “การประนีประนอมอย่างแท้จริง”
ภาพ: Mariupolnow / Instagram
อ้างอิง: