ธนาคารไทยพาณิชย์ ดึงหัวกะทิจากซิลิคอนแวลลีย์ และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผนึกกำลัง SCB Abacus เดินหน้าพัฒนาปัญญาประดิษฐ์บนระบบ SCB Easy เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นที่ปรึกษาการเงินอัตโนมัติ หรือ Robo Advisor โดยคาดว่าจะได้เห็นในปี 2561
ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB Abacus หน่วยงานน้องใหม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยเฉพาะเปิดเผยว่า เนื่องจากตอนนี้ภาคการเงินเกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการรุกเข้ามาของกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือนอนแบงก์ ผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ ธนาคารจึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ยกระดับและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่า AI จะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน และอีกไม่เกิน 10 ปีจะแทรกเข้ามาอยู่ในทุกกิจกรรมของชีวิต ไม่ต่างจากสาธารณูปโภคพื้นฐานเช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้า
ปัจจุบันธนาคารมีแพลตฟอร์มสำคัญที่ใช้ในการรุกตลาดรายย่อยอย่าง SCB Easy ซึ่งคาดหวังว่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคมากกว่าธุรกรรมทางการเงิน โดยจะสร้างการรับรู้เรื่องไลฟ์สไตล์ให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้เปิดตัว My Deals (โปรเพื่อคุณ) สำหรับส่วนลดและข้อเสนอพิเศษที่ทำร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ในรูปแบบของ Customized Service เพราะผู้บริโภคปัจจุบันมีความต้องการที่ซับซ้อน เรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ นำเสนอสิ่งที่เฉพาะตัวสำหรับแต่ละคนมากขึ้น โดยธนาคารยืนยันว่าไม่ได้เก็บค่าโฆษณากับแบรนด์ที่เข้ามาฝากร้าน และจะเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น
ผู้บริหาร SCB Abacus ยอมรับว่า การใช้ AI เป็นกลไกสำคัญร่วมกับการเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านทางแพลตฟอร์มที่มีจะนำไปสู่กลยุทธ์สำคัญคือ การพัฒนาที่ปรึกษาทางการเงินอัตโนมัติหรือ Robo Advisor ที่จะเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคล พฤติกรรม และธุรกรรมทางการเงิน ตลอดจนรูปแบบการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งจะต้องมีอัลกอริทึมและ Big Data ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยขณะนี้ในต่างประเทศใช้ Robo Advisor กันอย่างแพร่หลายแล้ว
SCB Abacus ได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มธนาคารเพื่อพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยดร.สุทธาภาขอไม่เปิดเผยรายชื่อ แต่บอกว่าเป็นบริษัทที่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่มากและมีการจัดการที่ดี ซึ่งเป็นไปได้ที่จะเป็นพาร์ตเนอร์แบรนด์ระดับโลก ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain เพื่อนำมาใช้กับระบบของธนาคารด้วย
เป็นอีกความเคลื่อนไหวของหนึ่งในผู้เล่นใหญ่ของวงการธนาคารไทย ที่ตอนนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทจนทุกองค์กรต้องเร่งปรับตัว นำมาปรับใช้ให้ทันการเปลี่ยนแปลง และสินทรัพย์อันมีค่าที่สุดในยุคดิจิทัลนี้อาจไม่ใช่เงินหรือทองคำอีกต่อไป แต่เป็นฐานข้อมูลนั่นเอง