วันนี้ (8 พฤศจิกายน) ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดในไทย ซึ่งมีสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่มีจำนวนลดลงอยู่ในหลักพัน และยอดผู้เสียชีวิตต่ำกว่าร้อยติดต่อกันหลายสัปดาห์ และมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้รักษาหายป่วยกลับบ้านมากกว่ายอดผู้ป่วยติดเชื้อรายวัน แสดงถึงศักยภาพของสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการปรับมาตรการควบคุมโรคที่ได้ผลและความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการ
ล่าสุด ข้อมูลจากเว็บไซต์ Bloomberg (ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564) ระบุความคืบหน้าการฉีดวัคซีนต้านโควิดในประเทศต่างๆ 184 ประเทศทั่วโลก ขณะนี้ทั่วโลกได้ฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 7,200 ล้านโดส โดยประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน โดยประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากที่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา บราซิล และอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้ยอดการฉีดวัคซีนสะสมของไทยกว่า 80 ล้านโดสแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564) แบ่งเป็น เข็มที่ 1 สะสม 43,978,814 โดส เข็มที่ 2 สะสม 33,950,925 โดส เข็มที่ 3 สะสม 2,551,969 โดส และเข็มที่ 4 สะสม 2,719 โดส รวม 80,484,427 โดส คิดเป็น 65.44% ของประชากรไทยทั่วประเทศ ทั้งนี้ ด้วยอัตราการฉีดต่อวันประมาณ 6-8 แสนโดสต่อวัน ทำให้ Bloomberg คาดการณ์ว่าหากไทยฉีดด้วยความเร็วระดับนี้ต่อไป จะสามารถฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ให้ครอบคลุมประชากร 75% ได้ภายใน 1 เดือน สอดคล้องกับนโยบายเปิดประเทศแบบปลอดภัย (Smart Entry) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ธนกรกล่าวว่า นอกจากรัฐบาลจะดำเนินการจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับคนทุกกลุ่มในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดอาการติดเชื้อรุนแรงและป่วยหนัก และลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อแล้ว นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดติดตามเจรจาเพื่อสั่งซื้อยารักษาโควิด ทั้ง ‘แพ็กซ์โลวิด (Paxlovid)’ ของบริษัทไฟเซอร์ และ ‘โมลนูพิราเวียร์’ ของบริษัทเมอร์ค ที่ช่วยลดการรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยได้รับยารักษาโควิดที่มีการพัฒนาเป็นคิวแรกๆ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไทยสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและทำมาหากินได้อย่างปกติสุขโดยเร็วแบบ New Normal และร่วมเดินหน้าพลิกฟื้นเศรษฐกิจต่อไป
ธนกรกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีพอใจและขอบคุณทุกคนที่ปรับเปลี่ยน เรียนรู้วิถีชีวิตแบบปกติใหม่ เน้นการอยู่ร่วมกับโควิด ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าเปิดประเทศเพราะต้องการสร้างโอกาส สร้างความหวังให้กับธุรกิจ เอกชน โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งอุตสาหกรรมบริการต่างๆ ได้กลับมาดำเนินกิจการกิจกรรมได้เกือบเหมือนปกติอีกครั้ง เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังกำชับให้ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ รักษาวินัยของตัวเองอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว ตลอดจนลดการแพร่ระบาดของโควิดของไทยอีกด้วย