เสน่ห์ข้อหนึ่งที่ส่งให้ชื่อของ Fast & Furious กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่มีแฟนคลับติดตามอย่างเหนียวแน่นและกวาดรายได้ทั่วโลกไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือความเวอร์วังของฉากแอ็กชันที่หักล้างทุกความเป็นไปได้ของการขับรถซิ่ง ทั้งการใช้รถมาลากตู้เซฟไปทั่วเมือง ใช้รถลากเครื่องบินให้ตกลงพื้น ขับรถข้ามตึกสูงเสียดฟ้า ไปจนถึงการขับรถแข่งกับเรือดำน้ำ
แม้ว่าหลายสิ่งอย่างที่อยู่ใน Fast & Furious จะมีความไม่สมเหตุผลอยู่หลายประการก็จริง แต่ความเวอร์วังเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ผู้ชมทั่วโลกต่างชื่นชอบในความกล้าบ้าบิ่นของพวกเขา และคอยติดตามต่อว่าเหล่าทีมสร้างจะสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันของครอบครัวรถซิ่งกลุ่มนี้ให้ออกมาอลังการมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
สำหรับตัวผู้เขียนแล้ว Fast & Furious 9 มีความสนุกสนานในแบบของภาพยนตร์แอ็กชันที่ควรจะเป็น แต่หากเราลองนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเทียบกับภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา เราคิดว่า Fast & Furious 9 ดูจะเป็นภาคที่โดดเด่นน้อยกว่าอยู่พอสมควร
Fast & Furious 9 จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของ ดอม (Vin Diesel) ที่ตัดสินในวางมือจากการซิ่งและออกเดินทางไปใช้ชีวิตแสนสงบในบ้านหลังเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าดอมจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้ไม่นานนัก เมื่อเขาทราบข่าวว่า จาค็อบ (John Cena) ผู้เป็นน้องชายที่หายหน้าไปนานหลายสิบปี กำลังวางแผนการร้ายบางอย่างเพื่อสร้างโลกในอุดมคติของตัวเอง ดอมและ ‘ครอบครัว’ ของเขาจึงต้องกลับมารวมตัวซิ่งอีกครั้ง เพื่อปกป้องโลกนี้จากน้องชายของตัวเอง
มาว่ากันถึงจุดเด่นของเรื่องกันก่อน Fast & Furious 9 ยังคงอัดแน่นไปด้วยความสนุกสนานในแบบฉบับที่ตัวเองเป็นมาตลอด นั่นคือฉากแอ็กชันรถซิ่งที่จัดหนักจัดเต็มเช่นเดิม ทั้งฉากขับรถไล่ล่าที่เต็มไปด้วยระเบิดและกระสุนปืน ฉากแข่งรถข้างถนนที่ต้องมีในทุกๆ ภาค รวมถึงฉากแอ็กชันหมัดชนหมัดที่ดุเดือดสะใจ

(from left, centered) Tej (Chris “Ludacris” Bridges) and Roman (Tyrese Gibson) in F9, directed by Justin Lin.
รวมถึงองค์ประกอบที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือ สองคู่หูสุดฮาประจำแฟรนไชน์อย่าง โรมัน (Tyrese Gibson) และ เท็ต (Ludacris) ที่ยังคงสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ได้เสมอเมื่อพวกเขาปรากฏตัว
แต่อย่างที่เรากล่าวไว้ในตอนต้น Fast & Furious 9 ค่อนข้างจะมีฉากแอ็กชันที่โดดเด่นน้อยกว่าภาคก่อนๆ อยู่พอสมควร
จุดด้อยข้อแรกที่เราอยากกล่าวถึงคือ ความเวอร์วังของฉากแอ็กชันที่ไม่ได้เกินความคาดหมายของผู้ชมเท่าไรนัก ทั้งฉากโหนสลิงข้ามภูเขาที่เราก็ได้เห็นฉากนี้แบบเต็มๆ กันไปแล้วในตัวอย่าง หรือจะเป็นการเสริมลูกเล่นใหม่อย่างเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามาช่วยให้ฉากแอ็กชันสนุกสนานมากยิ่งขึ้น แต่มันก็ไม่ทำให้ภาคนี้ดูแปลกใหม่หรือเว่อวังกว่าภาคก่อนๆ ที่เคยทำมาเท่าไรนัก รวมถึงฉาก ‘ไฮไลต์’ ในช่วงท้ายของเรื่อง ที่ผู้กำกับและทีมสร้างกลับไม่สามารถสร้างสรรค์ฉากฉากนั้นให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อย่างที่เราคาดหวัง
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งจุดด้อยสำคัญของ Fast & Furious 9 คือการกระจายบทบาทให้กับตัวละครภายในเรื่องอย่างไม่ทั่วถึง ซึ่งทำให้เราแอบเสียดายตัวละครหลายๆ ตัวอยู่พอสมควร โดยเฉพาะตัวละครที่ทุกคนต่างหลงรักอย่าง ฮาน (Sung Kang) ซึ่งเป็นตัวละครที่แฟนๆ ต่างเฝ้ารอการกลับมาของเขามากที่สุดคนหนึ่ง แต่บทบาทของฮานในภาคนี้กลับไม่ได้ถูกหยิบมาใช้อย่างเต็มที่ หรือมีฉากเด่นๆ ให้ผู้ชมได้จดจำอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง

(from left) Ramsey (Nathalie Emmanuel) and Dom (Vin Diesel) in F9, directed by Justin Lin.
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เราคิดว่า Fast & Furious 9 ยังคงเป็นภาพยนตร์แอ็กชันรถซิ่งสไตล์ Fast ที่สร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างดีเช่นเดิม แต่หากเรามองในแง่ของความสดใหม่หรือความเวอร์วังของฉากแอ็กชันแล้ว เราคิดว่าเรื่องราวในภาคนี้กลับโดดเด่นน้อยกว่าหลายๆ ภาคที่ผ่านมาอยู่พอสมควร
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: Universal Pictures