อัตราเงินเฟ้อและราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ ทำให้แนวโน้มกำไร บจ. ในไตรมาส 3 ปีนี้ของนี้เผชิญกับภาวะที่ย่ำแย่ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเกษตร และกลุ่มผลิตไฟฟ้า จะรายงานกำไรไตรมาส 3 ที่แย่ที่สุด
ราว 1 ใน 4 ของบริษัทจดทะเบียนในจีนที่มีมากกว่า 4,000 แห่ง ได้ทยอยรายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 กันแล้ว โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันว่าการเติบโตของกำไร บจ. โดยรวม จะลดลลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้ว เหตุผลหนึ่งมาจากกำไรไตรมาส 3 ปีที่แล้วของจีนค่อนข้างสูง โดยจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักเพียงหนึ่งเดียวที่เศรษฐกิจยังเติบโตท่ามกลางการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิดเมื่อปีที่แล้ว และยังไม่มีการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ปีนี้ จีนยังต้องเผชิญความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนชิปที่ยืดเยื้อมานาน และวิกฤตด้านพลังงานที่ถูกจำกัดกำลังการผลิต และส่งผลต่อราคาขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของภาคการผลิตต่างๆ อีกด้วย รวมทั้งมีความเสี่ยงจากการรื้อกฎเกณฑ์กำกับดูแลในภาคเทคโนโลยี และความเสี่ยงด้านฐานะการเงินของภาคอสังหาริมทรัพย์
ล่าสุด Goldman Sachs ปรับลดการเติบโตของกำไรในปี 2564 สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในจีน (A-Share) แผ่นดินใหญ่เป็น 20% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์การเติบโตที่ 27% ในขณะที่ CICC Capital คาดว่าจำนวน บจ. ที่จะรายงานกำไรลดลง จะมีมากกว่าบริษัทที่รายงานผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
กลุ่มที่ถูกคาดหวังว่าจะรายงานกำไรสูงขึ้น คือผู้ประกอบการต้นน้ำ อาทิ เหล็ก เหมืองแร่ และเคมีภัณฑ์ จากอานิสงส์เรื่องการปรับขึ้นราคาขาย โดยบริษัท China Jushi Co. ถูกคาดการณ์ว่าจะรายงานกำไรเติบโตอย่างน้อย 220% ในขณะที่บริษัท Wanhua Chemical Group น่าจะรายงานกำไรที่เติบโตขึ้น 139% โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการขายและราคาที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม CITIC Securities ได้ตั้งข้อสังเกตุในบทวิเคราะห์ว่า แม้สินค้าจำพวกวัตถุดิบต้นน้ำจะปรับราคาสูงขึ้น แต่ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น
สำหรับภาคสาธารณูปโภค เช่น ภาคการผลิตไฟฟ้า น่าจะมีปัญหาในไตรมาส 3 โดยผู้ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินไม่สามารถซื้อเชื้อเพลิงได้เพียงพอ และถูกตีกรอบเรื่องการขึ้นราคาไฟฟ้าผู้บริโภคโดยรัฐบาล
Huatai Securities พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของบริษัทในกลุ่มนี้ได้รายงานผลประกอบการออกมาแล้วและมีรายได้ที่ลดลงโดยเฉลี่ย 114% ในขณะที่บริษัท Guangdong Electric Power Development Co. ถูกประเมินว่าจะรายงานการขาดทุนเป็นครั้งแรกในปีนี้ในไตรมาสที่ 3
อย่างไรก็ตาม วิกฤตราคาพลังงานเริ่มคลี่คลายมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์ของ Huajin Securities ระบุว่า ทางการจีนกล่าวเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้ว่าจะช่วยให้ราคาไฟฟ้าสูงขึ้นเพื่อบรรเทาวิกฤตด้านพลังงาน ซึ่งจะปัจจัยบวกสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นและปริมาณการผลิตที่มากขึ้น
ส่วนกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ถูกคาดการณ์ว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น หลังจาก Yangzhou Yangjie Electronic Technology Co. รายงานผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น 87% ในขณะที่ผู้ผลิตแผงจอแสดงผล BOE Technology Group Co. คาดการณ์ว่ากำไรจะขยายตัว 4 เท่า
ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทที่ต้องแบกรับต้นทุนเงินเฟ้อ เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Jiangsu Pacific Precision Forging Co. ซึ่งรายงานว่ารายได้ลดลง 34%
CICC ระบุว่า บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในบรรดาผู้ผลิตระดับกลาง ดูเหมือนจะอยู่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การป้องกันประเทศ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่วนต่างกำลังเพิ่มขึ้น
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น บริษัทอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องใช้ จะผ่านพ้นจุดต่ำสุดของรายได้ขาลงในไตรมาสนี้ หลังจากการบริโภคที่ตกต่ำเป็นเวลานาน แต่ยังรับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ CITIC Securities มองว่ากลุ่มนี้กำไรจะเติบโตอย่างชะลอตัวประมาณ 85%
ทั้งนี้ไตรมาสที่ 4 กลุ่มอุปโภคบริโภคจะมีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากยอดค้าปลีกเกินความคาดหมายในเดือนกันยายน ขณะที่ทางการระบุว่าราคาเนื้อหมูจะทรงตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
Huatai Securities ระบุว่า ในบรรดาบริษัทที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ บริษัทเกษตรกรรมเนื่องจากราคาเนื้อหมูปรับตัวลดลง โดยไม่ถึง 25% ของบริษัทในกลุ่มนี้ที่จะรายงานผลประกอบการเติบโต
โดยล่าสุดทางบริษัท Muyuan Foods Co. รายงานขาดทุนสุทธิ 822 ล้านหยวน (128.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่ Wellhope Foods Co. คาดว่ารายรับจะลดลงอย่างน้อย 94%
สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ด้วยวิกฤตสภาพคล่องที่ลุกลามต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มนี้มีกำไรตกต่ำที่สุดในไตรมาสที่ 3 โดย Guosen Securities กล่าวว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ถูกคาดการณ์ว่าจะขาดทุนในไตรมาสนี้ เนื่องจากด้วยราคาบ้านที่ลดลงในเดือนกันยายนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ล่าสุด Gemdale Corp. รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ลดลง 26% ในขณะที่ Financial Street Holdings Co. เตือนว่า อาจจะเห็นกำไรกลุ่มนี้ลดลงสูงถึง 30% ในไตรมาส 3
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP