Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐฯ ออกโรงตอบโต้และปกป้องภาพลักษณ์ของบริษัท หลังสื่อชั้นนำอย่าง The Wall Street Journal ออกรายงานพิเศษต่อเนื่องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโจมตีกล่าวหา Facebook ว่าเห็นความสำคัญของการกอบโกยผลกำไรมากกว่าการปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจจากหลายฝ่าย รวมถึงบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสในสหรัฐฯ จนกระทั่งเตรียมเรียกตัวทีมผู้บริหารของ Facebook ขึ้นชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าวในสภา
นิก เคลกก์ (Nick Clegg) รองประธานฝ่าย Global Affairs ของ Facebook ได้โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นความถูกต้องแม่นยำของข้อเท็จจริงที่นำมาใช้ รวมถึงยอมรับผิดในกรณีที่มีข้อมูลผู้ใช้งานรั่วไหลว่าไม่ใช่ความผิดของระบบ แต่เกิดจากความผิดพลาดหรือจงใจของพนักงานในองค์กร
ขณะเดียวกันเคลกก์ยังใช้พื้นที่ดังกล่าวเผยแพร่บทความตอบโต้รายงานของ The Wall Street Journal ลงบนบล็อกโพสต์ ชี้แจงข้อเท็จจริงผิดๆ ที่รายงานของสื่อชั้นนำสหรัฐฯ กล่าวอ้างเกี่ยวกับ Facebook
ทั้งนี้ The Wall Street Journal ได้เปิดเผยรายงานการตรวจสอบที่แสดงให้เห็นความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของ Facebook ในการแก้ไขปัญหาภายในของพนักงานบริษัทที่หลายครั้งและบ่อยครั้งมีผลต่อเนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์
อีกทั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างของทีมผู้บริหารยังสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับรายได้จากการโฆษณา มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน
โดยรายงานทั้งหมดมีขึ้นหลังจากที่ 2 เดือนก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ออกมาระบุว่า Facebook เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน เพราะเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด
ขณะเดียวกัน รายงานของ The Wall Street Journal ยังมีขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาที่ Facebook ต้องเผชิญมาอย่างยาวนาน กรณีละเลยไม่สนใจในการจัดหามาตรการมากำกับดูแลเนื้อหา (คอนเทนต์) ภายใน Facebook เพื่อความปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ใช้งาน ซึ่งรวมถึงกรณีที่มีรายงานว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ปฏิเสธข้อเสนอของพนักงานบริษัทที่ต้องการออกกฎกำกับดูแลให้เข้มงวด เนื่องจากอาจจะกระทบต่อปริมาณการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ Facebook ยังตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังออกมาโต้แย้งว่าบริษัทไม่มีงบประมาณที่มากพอในการจัดหาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในประเทศต่างๆ เพื่อทำหน้าหน้าสอดส่องเฝ้าระวังเนื้อหาที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจของผู้ใช้งาน
โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่หลายฝ่ายยากจะเชื่อสำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างรายได้มากกว่า 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำไรเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020 ที่ผ่านมา
รองประธาน Facebook ย้ำว่า Facebook เข้าใจถึงความสำคัญที่ต้องรับผิดชอบในฐานะแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลกเป็นอย่างดี และ Facebook ก็ดำเนินการอย่างจริงจัง พร้อมน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนเพื่อแก้ไข กระนั้น Facebook ก็ไม่ยินยอมที่จะสูญเสียบุคลิกพื้นฐานและหลักการของบริษัท ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
อ้างอิง: