×

ลงทุนตลาดไหนดี เมื่อนโยบายการเงินโลกเริ่มแตกต่าง

15.09.2021
  • LOADING...
market to invest

ในช่วงกลางเดือนกันยายน-ตุลาคม SCB Chief Investment Office (CIO) วิเคราะห์ 3 ประเด็นหลักที่มีผลต่อแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Global Asset Allocation) ประกอบด้วย 

 

  1. ผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เริ่มแตกต่างตามความรวดเร็วในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DMs) และกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EMs) โดยเฉพาะการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (US Federal Reserve: Fed) ที่จะเริ่มทำ QE Tapering ภายในปี 2021 นี้
  2. ภูมิคุ้มกันของ EMs ประเทศ ต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก 
  3. บทเรียนต่อตลาดการเงินโลกจากการทำ QE Taper ของ Fed ในปี 2013 และความแตกต่างของการทำ QE Taper ในรอบนี้  

 

SCB CIO วิเคราะห์ธนาคารกลางหลัก เริ่มส่งสัญญาณ QE Taper โดยสัญญาณจาก Fed จะชัดเจนขึ้นจากการประชุมเดือนกันยายน และน่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในการประชุมเดือนพฤศจิกายน คาดความผันผวนในตลาดการเงินโลกสูงขึ้น แต่ไม่รุนแรงเท่ากับในปี 2013 โดยในรายละเอียด SCB CIO คาดว่า Fed จะส่งสัญญาณ QE Taper ที่ต่อเนื่องและชัดเจนขึ้นในการประชุมวันที่ 21-22 กันยายนนี้ ซึ่งต่างจากเมื่อปี 2013 เป็นการประกาศที่สร้างความตกใจให้ตลาด โดยในรอบนี้ทั้งผู้ร่วมตลาดและ Fed ล้วนมีบทเรียนจากปี 2013 

 

นอกจากนั้น Fed ได้ส่งสัญญาณหรือนวดตลาดล่วงหน้า ทำให้ตลาดเริ่มมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งสัญญาณชัดเจนในการแยกการตัดสินใจประเด็น QE Taper (คาดว่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในช่วงการประชุมของ Fed วันที่ 2-3 พฤศจิกายน) และการขึ้นดอกเบี้ย (ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งแรกปี 2023) ออกจากกัน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะทำให้ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกไม่รุนแรงเท่ากับการทำ QE Taper ในปี 2013 

 

โดยนอกจาก Fed แล้ว ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ส่งสัญญาณลดการเข้าเข้าสินทรัพย์อย่างช้าๆ ภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 4 ปีนี้ แต่จะยังคงการทำ QE ภายใต้โครงการ Asset Purchase Program (APP) ไว้ต่อ การเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายน ไม่น่าจะทำให้ภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่การเลือกตั้งสภาล่างและนายกคนใหม่ของญี่ปุ่นน่าจะตามมาด้วยนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ให้ทัน 

 

สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก SCB CIO ประเมินการเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ของ US Treasury Yields จะทำให้หุ้นกลุ่ม Quality Growth ในสหรัฐฯ และยุโรป ยังน่าสนใจ 

 

ส่วนประเทศในกลุ่ม EMs ที่ฟื้นช้า ต้องระวังความผันผวนในตลาดหุ้นและค่าเงิน โดยบทเรียนจากปี 2013 บ่งชี้ว่า ในตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นทั้งในแง่การปรับตัวลดลงและระยะเวลาฟื้นตัว ตามมาด้วยตลาดหุ้นยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากปรับขึ้นไปอย่างมีนัยในช่วงก่อนหน้า แต่ก็สามารถทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ ในขณะที่กลุ่มประเทศ EM เช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบหนักต่อทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และค่าเงิน 

 

โดยในช่วงปลายปี 2021 คาดว่าอัตราผลตอบแทน US Treasury จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งเป็นการขยับขึ้นแบบช้าๆ และน่าจะส่งผลกระทบจำกัดต่อหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังคงกังวลต่อค่าเงินและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศ EMs ซึ่งแม้เสถียรภาพด้านต่างประเทศจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2013 แต่ปัญหาด้านภูมิคุ้มกันของ EMs ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำและฟื้นช้า โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจถูกกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าและโควิด 

 

สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป พร้อมกับปรับมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น Slightly Positive และปรับมุมมองหุ้นจีน H-Share และไทยลงเป็น Slightly Negative เราเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Quality Growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้เรามีมุมมองที่ดีขึ้นต่อหุ้นญี่ปุ่น จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่, ราคาหุ้นที่ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาด DM อื่น และผลกระทบที่น่าจะจำกัดจาก Fed QE Taper  

 

จากความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท เราปรับมุมมองหุ้นจีน H-Share ลงเป็น Slightly Negative สำหรับตลาด A-Share เรายังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย Dual Circulation และ Common Prosperity  

 

ในตลาดหุ้น ASEAN เรายังคงชอบเวียดนาม แม้เศรษฐกิจและผลประกอบการจะชะลอลงในช่วงไตรมาส 3/2021 แต่ผลกระทบได้รับ Priced-In ไปบ้างแล้ว โดยในระยะข้างหน้า น่าจะมีการฟื้นตัวได้จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลกและความคืบหน้าในการนำเข้าวัคซีนที่ค่อนข้างดี ทำให้การเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาได้  

 

นอกจากนี้เรายังได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยลงเป็น Slightly Negative จากความตึงตัวของ Valuation และผลกระทบจาก QE Tapering ต่อเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า

 

ด้วยอัตราผลตอบแทนแท้จริงของ US Treasury ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ความผันผวนในตลาดหุ้นสูงขึ้น เราคงมุมมองต่อทองคำขึ้นเป็น Neutral และคงมุมมองต่อน้ำมันที่ Slightly Negative จากปัจจัยอุปสงค์ที่น่าจะได้รับแรงกดดันจากการเปิดเมืองที่ช้ากว่าคาด โดยเฉพาะจากประเทศ EMs  

 

ส่วนมุมมองต่อ DM และ Asian REITs เราคงไว้ที่ Neutral โดย DM REITs แม้มีการเปิดเมืองต่อเนื่อง แต่ Valuation ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่ Asian REITs แม้ราคาถูก แต่ผลกระทบของสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มยืดเยื้อ

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X