นักวิเคราะห์เริ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ปัจจัยสนับสนุนหลักคือตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศรายวันที่ลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 20,000 ราย และแผนการกระจายวัคซีนในไตรมาส 4 รวมทั้งสถานการณ์โควิดในต่างประเทศที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นหลังจากที่ FDA สหรัฐฯ ขึ้นทะเบียนรับรองวัคซีน Pfizer
โดยบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (26 สิงหาคม) ดัชนียังอยู่ในโซนบวก แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายจะแผ่วลงเมื่อเทียบกับ 2 วันก่อน โดยดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,601.91 จุด เพิ่มขึ้น 1.42 จุด หรือ 0.09% มูลค่าการซื้อขาย 81,236.79 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสุทธิออกมาจำนวน 343 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เริ่มขายสุทธิ 653 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายบุคคลในประเทศซื้อสุทธิ 976 ล้านบาท และพอร์ตบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 20 ล้านบาท
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในระยะสั้นหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวเชิงบวกต่อได้ แต่จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นหวือหวานัก สะท้อนจากมูลค่าการซื้อขายที่เริ่มแผ่วลงเมื่อเทียบกับต้นสัปดาห์ โดยมองกรอบบนไว้ที่ 1,610-1,615 จุด
นักลงทุนยังติดตามผลการประชุมในงานสัมมนาประจำปีของ Fed ที่แจ็กสันโฮล ซึ่งจะรู้ผลประชุมในคืนวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม ตามเวลาประเทศไทย ขณะที่ปัจจัยในประเทศก็ยังกดดันตลาดหุ้นไทยได้อยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง และการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า
“การที่มี Flow เข้าหุ้นไทยเพิ่มขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวก และสะท้อนว่า Downside Risk เริ่มจำกัด ประเมินว่าต่างชาติเริ่มมองเห็นข่าวดีในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งเรื่องวัคซีน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และโอกาสในการกลับมาเปิดประเทศ จะเห็นได้ว่าหุ้นที่เป็น Domestic Play เริ่มปรับขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอยู่ โดยเฉพาะผลประชุม Fed ซึ่งจะมีผลต่อ Flow ทั่วโลก”
ทั้งนี้ ประเมินแนวรับสำคัญ ประเมินที่ 1,580 จุด และ 1,550 จุด โดยความเสี่ยงที่จะกดดันดัชนีคือการปรับเปลี่ยนนโยบายของ Fed และการฟื้นตัว และปัจจัยในประเทศคือตัวเลขผู้ติดเชื้อและแผนกระจายวัคซีน
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขณะนี้มีปัจจัยบวกต่อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น หลักๆ มาจากสถานการณ์โควิดในประเทศที่ดีขึ้น ประกอบด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 20,000 รายต่อวัน และแผนกกระจายวัคซีนในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งหากเป็นไปตามแผนก็เชื่อว่าจะเกิด Herd Immunity ได้ และทำให้สามารถเปิดเมืองและทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจากกรณีที่ FDA สหรัฐฯ ขึ้นทะเบียนรับรองวัคซีน Pfizer ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ตัวชี้วัดสำคัญของช่วงนี้คือการเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเข้าซื้อสุทธิมาต่อเนื่อง สะท้อนจากการปรับขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน ซึ่งเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าเมื่อปรับขึ้นมาแล้วก็สามารถยืนระดับอยู่ได้ แม้จะมีการย่อตัวลงบ้างแต่ก็ไม่มาก
“แนวโน้มหุ้นไทยยังบวกต่อได้ แต่จะไม่ปรับขึ้นแบบหวือหวา เพราะแม้จะมีปัจจัยบวกเรื่องวัคซีนและยอดผู้ติดเชื้อรายวันลดลง แต่ตลาดยังติดตามผลการประชุมของ Fed ที่แจ็กสันโฮล ซึ่งจะมีผลต่อเม็ดเงินลงทุนอยู่บ้าง จึงมองกรอบขาลงที่ระดับ 1,580 จุด เป็นแนวรับสำคัญ”
ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ 1,660 จุดเช่นเดิม และประเมินว่าภาพรวมดัชนีในไตรมาส 4 จะดีขึ้นในกรณีที่ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และกระจายวัคซีนได้ตามแผน
เตรียมพบกับฟอรัมที่ผู้บริหาร ‘ต้องดู’ ก่อนวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า! The Secret Sauce Strategy Forum คัมภีร์กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตปี 2022
📌 เฟรมเวิร์กกลยุทธ์ใช้ได้จริง
📌 ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทย–โลก
📌 เทรนด์ผู้บริโภค–การตลาด
📌 เคสจริงจากผู้บริหาร
พิเศษ! บัตร Early Bird 999 บาท วันนี้ถึง 27 สิงหาคมนี้เท่านั้น
ซื้อบัตรได้แล้วที่ www.zipeventapp.com/e/the-secret-sauce