กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่พบว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายและยอดโอนเพิ่มขึ้น
THE STANDARD WEALTH รวบรวมผลการดำเนินงานกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย จำนวน 16 บริษัท มีกำไรรวมกัน 7,801.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.53% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,712.75 ล้านบาท
บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LH รายงานกำไรสุทธิมากสุดใน 15 บริษัทที่รวบรวมข้อมูล โดยมีกำไรสุทธิ 1,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,394 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายบ้านเดี่ยวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
LH มีรายได้จากการขายเท่ากับ 8,465.06 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขายเท่ากับ 7,230.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,234.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.08% ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 31.64% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 31% โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.64% ซึ่งเป็นผลมาจากการขายบ้านเดี่ยวที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงในสัดส่วนที่มากขึ้น
ขณะที่ บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI แจ้งว่า บริษัทมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 จำนวน 1,730.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 312% จางวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 420.09 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสนี้มีรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,157.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142% ส่วนใหญ่เป็นบ้านและทาวน์เฮาส์ 51% และที่เหลือ 49% เป็นอาคารชุด เนื่องจากมีโครงการอาคารชุดสร้างเสร็จใหม่ โดยเริ่มโอนในช่วงปลายไตรมาส 2/64 อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดส่งผลให้การขายและการโอนในไตรมาสนี้ลดลงบางส่วน
ส่วน บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP แจ้งว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 จำนวน 1,115 ล้านบาท ลดลง 8.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไร 1,215.44 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน ปี 64 มีกำไร 2,517.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.28% จากช่วงเดียวกันของปี 63 ที่มีกำไร 1,833.90 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 64 รายได้รวมจากสินค้าแนวราบกลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ เป็นสถิติครั้งใหม่ โดยมีรายได้รวมที่สูงถึง 20,506 ล้านบาท และปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 33,729 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
AP ยังคงดำเนินการสรรหาที่ดินในทำเลใหม่ๆ เพื่อทดแทนโครงการแนวราบที่จะทยอยปิดตัวลงในปีนี้เนื่องจากจบการขาย โดยได้จัดเตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้รวมทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วประมาณ 5,200 ล้านบาท และคงเหลืออีกจำนวน 6,800 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จัดสรรซื้อที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ปัจจุบัน AP มีวงเงินสดพร้อมใช้มากกว่า 14,000 ล้านบาท
สำหรับแผนครึ่งปีหลัง AP เตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่าโครงการรวม 12,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 31 ก.ค. 64 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม (Net Pre-Sale) ได้มากถึง 20,662 ล้านบาท คิดเป็น 58% จากเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท
บมจ.แสนสิริ หรือ SIRI รายงานว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีกำไร 661.83 ล้านบาท หรือ 0.039 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 156.36% จากงวดเดียวกันของปี 63 ที่กำไร 258.16 ล้านบาท หรือ 0.0179 บาท/หุ้น
ในไตรมาสนี้ SIRI บริษัทมีรายรับรวมทั้งสิ้น 8,042 ล้านบาท ลดลง 28% จากไตรมาสที่ 2/63 เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากการขายโครงการซึ่งเป็นรายได้หลักของแสนสิริ ซึ่งลดลง 30% รวมถึงรายได้ค่าบริการธุรกิจลดลงที่ 40% โดยรายได้จากโครงการที่ลดลงปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้จากการขายทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักต์เพิ่มขึ้นที่ 128% มาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการเร่งระบายสินค้าคงเหลือในช่วงครึ่งแรกของปี 63 จากความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดซึ่งได้รับการตอบสนองจากตลาดเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ต้นทุนโครงการเพื่อขายเท่ากับ 4,723 ล้านบาท ลดลง 42% เมื่อเทียบกับต้นทุนโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่ 2/63 ตามการลดลงของรายได้จากการขายโครงการ
สรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัย มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักๆ มาจากการขายและการโอนเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทที่มีกำไรโดดเด่นคือ SPALI
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ตลอดจนครึ่งปีหลัง คาดว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์น่าจะกำไรลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากต้นไตรมาส 3 มีนโยบายปิดแคมป์คนงานและไซต์ก่อสร้างเป็นเวลา 30 วัน ทำให้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะทำให้โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมถึงอยู่ระหว่างตกแต่งสะดุดลง และไม่สามารถโอนและรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ได้
นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบเชิง Sentiment จากการประกาศล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ ทำให้ Traffic ของลูกค้าที่จะเข้ามาดูโครงการลดลง และอาจส่งผลให้ยอดขายชะลอไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าความต้องการและกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากและจะกลับมาเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง
“คำแนะนำในการลงทุนสำหรับกลุ่มอสังหายังสามารถเข้าลงทุนได้ เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่แพง ค่า P/E อยู่ที่ 5-6 เท่า และยังสามารถคาดหวังถึงเงินปันผลได้ โดยกลุ่มนี้ให้ Divident Yield ที่ 6-7% อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติหุ้นกลุ่มอสังหาไม่ใช่หุ้นที่เคลื่อนไหวหวือหวา จึงจะไม่เห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากแม้เศรษฐกิจจริงจะฟื้นหรือเมื่อตลาดหุ้นรีบาวด์แรงๆ”
ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET ระบุว่า ภาพรวมกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งหลังปี 64 มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากความรุนแรงของการระบาดของโควิด การฉีดวัคซีนล่าช้า ความล่าช้าในการเปิดประเทศ ซึ่งนำไปสู่การลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP หนี้ครัวเรือนต่อ GDP เร่งตัวขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอ
ขณะที่การประกาศของรัฐบาลล่าสุดเกี่ยวกับการปิดสถานที่ก่อสร้างเป็นเวลา 1 เดือน และหลักเกณฑ์ของ EIA ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับอาคารสูงนั้นถือเป็นปัจจัยเชิงลบในระยะอันใกล้ และการเปิดตัวโครงการใหม่น่าจะเลื่อนจากครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประมาณการยอดขายล่วงหน้า รวมถึงรายได้และกำไรสุทธิ
ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุเพิ่มเติมว่า ความพยายามของรัฐบาลในการดึงดูดชาวต่างชาติให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทยมากขึ้นนั้นถือเป็นปัจจัยเชิงบวกในระยะยาว ซึ่งรวมถึงวีซ่าระยะยาว 10 ปี และการขยายสัญญาสิทธิการเช่ามาตรฐานจาก 30 ปี เป็น 40-50 ปี
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
