Mastercard ประกาศเป็นเครือข่ายการชำระเงินแห่งแรกของโลกที่จะยุติการใช้ ‘แถบแม่เหล็ก’ บนบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1960
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และการพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘ชิปการ์ด’ ที่ให้ความปลอดภัยที่มากกว่า นอกจากนี้บัตรหลายใบยังมาพร้อมกับการทำธุรกรรมแบบไม่ต้องสัมผัสได้ รวมไปถึงบัตรไบโอเมตริกซ์ ซึ่งรวมลายนิ้วมือกับชิปเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตรทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
“จากการลดลงของการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยแถบแม่เหล็กหลังจากการชำระเงินด้วยชิปเกิดขึ้น ทำให้ตั้งแต่ปี 2024 บัตรเครดิตและบัตรเดบิตของ Mastercard ที่ออกใหม่จะไม่จำเป็นต้องมีแถบแม่เหล็กอีกแล้วในตลาดส่วนใหญ่ โดยเริ่มจากยุโรป และภายในปี 2033 จะไม่มีบัตรใบใดที่มีแถบแม่เหล็กอยู่อีกแล้ว” Mastercard กล่าวในแถลงการณ์
โฆษกของ Mastercard กล่าวกับ BBC ว่า การยอมรับชิปและพินทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มเลิกใช้แถบแม่เหล็ก ซึ่งในสหราชอาณาจักรได้เปลี่ยนไปใช้ชิปและพินสำหรับการชำระเงินด้วยบัตรทั้งหมดในปี 2006 แต่ในสหรัฐอเมริการะบบแถบแม่เหล็กบางระบบยังคงใช้งานอยู่
การสำรวจของ Mastercard พบว่า ชาวอเมริกันมากกว่าครึ่งชอบใช้การชำระเงินด้วยชิปการ์ด ตามด้วยการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นบัตรหรือกระเป๋าเงินดิจิทัล มีเพียง 11% เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาต้องการรูด
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาของ Phoenix ในเดือนกรกฎาคมพบว่า 81% ของผู้ถือบัตรชาวอเมริกันที่ทำการสำรวจพอใจกับบัตรที่ไม่มีแถบแม่เหล็ก และ 92% จะเพิ่มหรือคงการใช้บัตรไว้เหมือนเดิมหากไม่มีแถบแม่เหล็กอีกต่อไปบนบัตร
ขณะเดียวกันปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระเงินมักจะใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะแพร่หลาย แต่การระบาดของโรคโควิดได้เร่งให้พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้นโดยเฉพาะในแง่ของดิจิทัล
ในไตรมาสแรกของปี 2021 Mastercard มีธุรกรรมแบบไม่ต้องสัมผัสมากกว่า 1 พันล้านรายการเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 และในไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 กว่า 45% ของธุรกรรมการชำระเงินด้วยตนเองทั้งหมดทั่วโลกเป็นแบบไม่ต้องสัมผัส
อ้างอิง: