วันนี้ (10 สิงหาคม) ลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ประกาศความช่วยเหลือด้านโรคโควิดรอบใหม่ มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับไทย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขที่ให้บริการฉีดวัคซีนกับประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพระบบสาธารณสุขของไทยในการป้องกัน ตรวจหา และตอบสนองต่อโรคโควิด
โทมัส-กรีนฟิลด์ กล่าวที่ศูนย์ฉีดวัคซีน โรงพยาบาลเมดพาร์ค ว่า “ดิฉันอยู่ที่นี่วันนี้ ในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดีไบเดน เพื่อเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่เรามีต่อชาวไทยระหว่างวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ สหรัฐฯ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับประเทศไทยมากว่า 200 ปี
“เรามีความร่วมมือที่ครอบคลุมและแข็งแกร่งในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน ไปจนถึงพันธมิตรทางการทหารที่แน่นแฟ้น และความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความสัมพันธ์ของเรามีรากฐานอยู่บนค่านิยมที่ชาติของเราทั้งสองมีร่วมกันเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงภูมิใจที่ได้มาที่โรงพยาบาลเมดพาร์คในวันนี้
“ดิฉันรู้สึกยินดีที่มีโอกาสได้เห็นการดำเนินการของไทยในการฉีดวัคซีนและปกป้องประชาชนด้วยวัคซีน Pfizer ที่สหรัฐฯ ได้มอบให้เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อเช้านี้ดิฉันได้พบกับบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าผู้ซึ่งเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีของไทย ในขณะที่พวกเขาได้รับวัคซีนเข็มแรก และดิฉันรู้สึกเกิดแรงบันดาลใจที่ได้ฟังเรื่องราวของพวกเขาในการปฏิบัติงานเพื่อรักษาชีวิต ดิฉันยังได้รับฟังสรุปเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกคนในประเทศไทยปลอดภัย”
นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ สหรัฐฯ ได้มอบเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์สำคัญอื่นๆ ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคโควิด นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ชาวอเมริกันยังทำงานเคียงข้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยในการต่อสู้กับไวรัสที่เลวร้ายนี้ด้วย
“ในการยุติโรคโควิด เราทราบดีว่าเราต้องทำงานร่วมกัน เชื้อโควิดนั้นไร้พรมแดน ไวรัสนี้ไม่สนใจว่าเรามาจากประเทศไทย, สหรัฐฯ, เมียนมา หรือ สปป.ลาว และไม่มีชาติหนึ่งชาติใดจะสามารถหยุดโรคระบาดใหญ่ได้โดยลำพัง การกำจัดเชื้อไวรัสนี้จะต้องใช้ความสามารถ ความเป็นผู้นำที่มีหลักการ และความร่วมมือของทุกชาติบนโลก
“ประธานาธิบดีไบเดนได้ให้คำมั่นว่า สหรัฐฯ จะมอบวัคซีนให้กับทั่วโลก ท่านประธานาธิบดีเข้าใจดีว่า ไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย ดังนั้นเราจึงกำลังบริจาควัคซีนกว่า 500 ล้านโดสให้กับประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และปราศจากเงื่อนไขใดๆ สำหรับประเทศไทยเราได้จัดส่งวัคซีน Pfizer จำนวน 1.5 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดิฉันเพิ่งจะได้เห็นการฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เรายังภูมิใจที่จะจัดส่งวัคซีนอีก 1 ล้านโดสเร็วๆ นี้ด้วย
“เรายังทราบอีกว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการรับมือกับความต้องการด้านมนุษยธรรม อันเป็นผลจากวิกฤตการณ์ในเมียนมา ดังนั้นในวันนี้ ดิฉันภูมิใจที่จะประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะมอบความช่วยเหลือมูลค่า 55 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นความช่วยเหลือเพื่อการดำเนินการตอบสนองด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้เราจะให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการรับมือต่อการระบาด ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวของระบบสาธารณสุขของไทย
“โดยเราจะมอบความช่วยเหลือเกี่ยวกับโรคโควิด จำนวน 5 ล้านดอลลาร์ให้กับไทย ซึ่งจะให้การสนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขที่ให้บริการฉีดวัคซีนกับประชาชน และเสริมสร้างศักยภาพระบบสาธารณสุขของไทยในการป้องกัน ตรวจหา และตอบสนองต่อโรคโควิดด้วย
“ส่วนเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจำนวน 50 ล้านดอลลาร์นั้น จะมอบให้กับภาคีองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรนอกภาครัฐโดยตรง เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านอาหารกรณีฉุกเฉิน อุปกรณ์ช่วยชีวิต ที่พักพิง การให้บริการสาธารณสุขหลัก น้ำ การส่งเสริมสุขภาพ และบริการด้านสุขอนามัยต่างๆ แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางจากเมียนมา ซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศกว่า 700,000 คน ทั้งนี้ เงินช่วยเหลือดังกล่าวจะช่วยให้ไทย องค์กรนอกภาครัฐ และองค์การระหว่างประเทศสามารถตอบโต้วิกฤตการณ์โควิด และตอบสนองต่อความต้องการของประชากรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย
“ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากทั้งที่ประเทศไทยและในทั่วโลก และดิฉันอยากจะให้คนไทยทราบว่า สหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างพวกท่านต่อไป นอกจากนี้ ดิฉันยังอยากจะขอบคุณบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ ได้แก่ พยาบาล หมอ บุคลากรสาธารณสุข อาสาสมัคร และทุกคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหยุดไวรัสนี้ และช่วยชีวิตคนมากมาย”
อ้างอิง:
- สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย