นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางตอนใต้ของประเทศ ใกล้ที่จะเผชิญกับการล่มสลายของระบบสาธารณสุข เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ฝ่ามมิงห์จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ต้องเรียกประชุมฉุกเฉิน เพื่อระดมทรัพยากรในการต่อสู้กับโรคระบาดในนครโฮจิมินห์
“นครโฮจิมินห์และเขตเศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้กำลังประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีความซับซ้อนมาก” นายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมฉุกเฉินออนไลน์เมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนของเมืองและจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันอย่างใกล้ชิด และคาดการณ์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
การจัดประชุมฉุกเฉินดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เวียดนามรายงานจำนวนผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 3,379 คนในวันพฤหัสบดี โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์พบผู้ป่วย 2,691 คน ส่วนจังหวัดใกล้เคียงอย่างบิ่นห์เยืองพบผู้ป่วย 122 คน และจังหวัดด่งนายพบผู้ป่วย 132 ราย
เหงียนแทงลอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับที่ประชุมว่า เวียดนามมียอดผู้ติดเชื้อรวม 34,582 คนทั่วประเทศ และมีผู้เสียชีวิต 100 คน นับตั้งแต่การระบาดระลอกล่าสุดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน
ในช่วงสัปดาห์นี้เพียงสัปดาห์เดียว ทั้งประเทศมีผู้ป่วยใหม่ 8,187 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเวียดนามตอนใต้ โดยนครโฮจิมินห์พบผู้ป่วย 6,338 คน ตามด้วยจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ติดกับนครโฮจิมินห์
เวียดนามกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดำเนินโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ประชาชน โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน รัฐบาลได้เปิดตัวกองทุนมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดซื้อจัดหาวัคซีนด้วยเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้แก่ประชากร 70% ของทั้งประเทศภายในช่วงต้นปีหน้า เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของรัฐบาลยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนวัคซีน เนื่องจากประเทศต่างๆ ในเอเชียต่างก็เร่งหาวัคซีนเช่นกัน
ปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอย่างน้อย 1 โดสในเวียดนามอยู่ที่ 4% ของประชากร 100 ล้านคน ทำให้เวียดนามรั้งอันดับสุดท้ายในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
“ความเสี่ยงของการระบาดยังคงมีอยู่ แม้แต่ในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนในระดับสูง” รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อที่ประชุม พร้อมทั้งเผยด้วยว่า “ในเวียดนามมีการตรวจพบสายพันธุ์เดลตาใน 58 จังหวัด จาก 63 จังหวัด และเมืองต่างๆ”
ทั้งนี้ พบการแพร่ระบาดในตลาดค้าส่งและนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนเขตที่พักอาศัยที่มีประชากรหนาแน่นในนครโฮจิมินห์
ฮัวก๊วกฮวง หัวหน้า HCM (HEPZA) HCM City Export and Processing Zones Authority (HEPZA) ซึ่งดูแลนิคมอุตสาหกรรมส่งออก 14 แห่ง กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อ 1,837 คนในโรงงานต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน โดยนิคมหลักอย่าง Quang Trung Software City และ Saigon Hi-Tech Park มีการเฝ้าระวังสูง เนื่องจากเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Samsung, Intel และ Nidec ทั้งนี้ มีธุรกิจมากกว่า 1,000 แห่งตั้งอยู่ในนิคมและเขตอุตสาหกรรมภายใต้การดูแลของ HEPZA โดยมีพนักงานทั้งหมด 274,000 คน
ปัจจุบันเวียดนามมีผู้ที่ถูกกักตัวจำนวน 270,665 คน ซึ่ง 3,564 คนกักกันที่สถานพยาบาล และ 77,435 คนถูกแยกตัวที่สถานกักกัน และที่เหลือ 189,666 คนถูกแยกกักตัวที่บ้านและในที่พักอาศัย
สำหรับศูนย์กลางของการระบาดระลอกปัจจุบันอย่างนครโฮจิมินห์นั้น ทางการกำลังเตรียมที่จะเพิ่มโรงพยาบาลสนามอีก 5 แห่ง เพื่อเพิ่มเตียงเสริม 50,000 เตียง เนื่องจากโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ 19 แห่งในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ ตั๊งจิเถื่อง รองอธิบดีกรมอนามัยของนครโฮจิมินห์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “ผู้ป่วยใหม่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรเพิ่มขึ้น” โดยปัจจุบันนครโฮจิมินห์กำลังขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากเตียงโรงพยาบาลโดยเฉลี่ย 1,000 เตียง ต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์ 200 คน
กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เวียดนามได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัคร 10,000 คนเพื่อสนับสนุนนครโฮจิมินห์ นอกจากนี้กระทรวงยังได้ออกแนวปฏิบัติใหม่เพื่อลดระยะเวลาการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ เพื่อลดภาระของสถานพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโควิดในนครโฮจิมินห์ซิตี้และบิ่นห์เยือง
รัฐมนตรีสาธารณสุขยอมรับในระหว่างการประชุมฉุกเฉินว่า นครโฮจิมินห์จะยังคงมีผู้ป่วยรายใหม่ทำสถิติสูงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นครโฮจิมินห์ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2020 โฮจิมินห์คิดเป็น 22.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของเวียดนาม และมีส่วนสนับสนุนงบประมาณของประเทศในอัตราส่วน 27.5% ในช่วงปี 2011-2019
ภาพ: Linh Pham / Getty Images
อ้างอิง: