หลังความพยายามมายาวนานร่วมปี ในที่สุด ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็สามารถคว้าตัว จาดอน ซานโช ผู้เล่นตำแหน่งปีกที่ได้รับการยกย่องว่ามีพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัยมาร่วมทีมได้สำเร็จ
ดีลมหากาพย์ของดาวเตะวัย 21 ปีที่ยืดเยื้อ เนื่องจากสองสโมสรไม่สามารถตกลงค่าตัวกันได้ทันเส้นตายที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ขีดไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จบลงที่เงินจำนวน 73 ล้านปอนด์ ซึ่งลดลงจากปีกลายลงมาค่อนข้างมาก
แต่ถึงค่าตัวจะลดลงมามากแล้ว แต่การทุ่มเงินเพื่อซื้อผู้เล่นในระดับบิ๊กเนมหรือ Marquee Signing ในปีที่เรายังหนีไม่พ้นโรคระบาดนั้น ได้ถูกตั้งเครื่องหมายพอสมควรว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมหรือไม่กับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
และเมื่อคิดถึงการที่ซานโชเองก็กลายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบในทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2020 ที่ผ่านมา โดยมีโอกาสได้ลงเล่นตัวจริงเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับทีมชาติยูเครน ซึ่งแม้จะเล่นได้ดีพอควรในเกมดังกล่าว แต่นอกเหนือจากนั้นก็แทบทำอะไรไม่ได้เลย
รวมถึงการลงไปในช่วง 1 นาทีสุดท้ายก่อนหมดช่วงของการต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศยูโร 2020 กับอิตาลี ซึ่งเขาลงไปเพื่อทำหน้าที่เป็นมือสังหารจุดโทษและทำหน้าที่พลาดส่งผลให้อังกฤษไปไม่ถึงความฝัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคิดอะไรอยู่ถึงตัดสินใจซื้อซานโชมาร่วมทีม?
-
ความสม่ำเสมอ
สิ่งที่ทำให้ซานโชมีความพิเศษมากกว่านักฟุตบอลคนไหนคือพรสวรรค์ในการเล่น โดยเฉพาะการเลี้ยงบอลที่เข้าขั้นมหัศจรรย์ เทคนิคในการเล่นของเขาแตกต่างจากนักฟุตบอลที่ถนัดการเล่นสนามใหญ่ทั่วไป แต่เป็นในสไตล์ของ ‘Baller’ หรือ Street Football ที่มีจังหวะพลิกแพลงเหลือเชื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเยี่ยมกว่าใครคือความสม่ำเสมอในการเล่น
ถึงแม้จะมีช่วงที่ฟอร์มการเล่นตกลงไปบ้าง โดยเฉพาะในครึ่งแรกของฤดูกาลที่แล้วซึ่งเขาได้รับผลกระทบเต็มๆ จากเรื่องการย้ายทีมที่ไม่ประสบความสำเร็จ (ก่อนหน้านี้เขาเคยมีปัญหาเรื่องฟอร์มตกเพราะมีปัญหากับฝ่ายบริหารของสโมสรดอร์ทมุนด์เช่นกัน) แต่ก็สามารถกลับมาเรียกฟอร์มเก่งได้ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง และมีส่วนช่วยพาทีมกลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกได้
ทีนี้หากมองไปยังสถิติโดยรวมแล้ว ซานโชเป็นผู้เล่นที่มีส่วนกับการได้ประตูสูงมากติดระดับท็อปของยุโรป โดยนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 ที่เขาแจ้งเกิดเป็นสตาร์เต็มตัว ดาวเตะจอมเลื้อยรายนี้ทำไป 37 ประตูกับอีก 41 แอสซิสต์ เรียกว่าใกล้เคียงกับ แฮร์รี เคน (58 ประตู, 20 แอสซิสต์) หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (63 ประตู, 23 แอสซิสต์) เลยทีเดียว ส่วนคนที่ทำได้สูงสุดคือ ลิโอเนล เมสซี (91 ประตู, 43 แอสซิสต์)
ขณะที่สถิติการเลี้ยงบอลของเขาก็สูงมาก โดย 3 ฤดูกาลหลังสุดนั้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.81, 5.42 และ 6.00 ตามลำดับ เรียกว่าได้เห็นการเลื้อยกันเป็นประจำทุกเกม เช่นกันกับการผ่านบอลในพื้นที่สุดท้ายที่สูงขึ้นทุกปี (22.77, 28.21 และ 29.41)
-
ความครีเอฟทีที่สูงกว่ากรีนวูด
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มีการวิพากษ์กันเยอะว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะซื้อซานโชมาทำไม ในเมื่อพวกเขามีตัวผู้เล่นที่ดีและมีอนาคตไกลอย่าง เมสัน กรีนวูด อยู่กับทีมแล้ว และ ‘ไม้เขียว’ เองก็เล่นดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
สิ่งที่จะอธิบายได้ดีที่สุดคือ ระหว่างสองคนนี้มีความแตกต่างกันทางสไตล์การเล่นอยู่ โดยกรีนวูดที่จะเล่นได้ดีที่สุดเมื่อได้ลงประจำการทางตำแหน่งตัวรุกริมเส้นฝั่งขวา เป็นสายนักล่าตาข่ายจากผลงานที่ผ่านมา ขณะที่ซานโชจะเน้นในเรื่องของการสร้างสรรค์มากกว่า
โดยในฤดูกาล 2021 ที่ผ่านมา ทั้งสองคนมีสถิติในเรื่องของการแอสซิสต์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ซานโชทำได้ถึง 11 ครั้ง ขณะที่กรีนวูดทำได้แค่ 2 ครั้ง และค่า xA (Expected Assists) หรือค่าโอกาสที่จะทำแอสซิสต์ได้ต่อเกม ไปจนถึงการสร้างโอกาส (Chances created) และการสร้างโอกาสสำคัญ (Big Chances Created) ซานโชก็ดีกว่าทั้งหมด
ในขณะที่กรีนวูด หรือแม้แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะอันตรายที่สุดในจังหวะ Transition เปลี่ยนจากรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว ซานโชคือคนที่มีความสามารถในการจ่ายบอลทะลุช่องตัดแนวรับได้เฉียบที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้ ซึ่งพิสูจน์ผลงานมาแล้วในเวทีบุนเดสลีกา
เรียกว่าเป็นการซื้อมาเพื่อเพิ่มทางเลือกในแท็กติกการเล่นก็ไม่ผิด
-
ความอเนกประสงค์
และถึงจะถูกมองว่าตำแหน่งของเขาจะชนกับกรีนวูดเต็มๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วซานโชมีความสามารถที่จะเล่นตรงไหนก็ได้ในแนวรุก ซึ่งเหมาะสมกับระบบการเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อย่างมาก เพราะเล่นในระดับแนวรุก 4 ตัวซึ่งเขาสามารถถูกส่งลงตรงไหนก็ได้
ตำแหน่งที่เหมาะสมกับสไตล์การเล่นแน่นอนว่าคือตำแหน่งตัวริมเส้นฝั่งขวารองลงมาคือฝั่งซ้าย แต่หากจะยืนในตำแหน่งตัวทำเกมตรงกลาง (ตำแหน่งของ บรูโน แฟร์นันด์ส) ก็ไม่ได้ผิดอะไร และหากกรณีฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ จะต้องไปยืนเป็นกองหน้าตัวกลางในแบบ False 9 ก็พอจะได้อยู่ (แต่จริงๆ กรีนวูดจะเป็นคนขยับเข้าไปเบียดตำแหน่งนี้กับ เอดินสัน คาวานี แทน)
การมีผู้เล่นในระดับนี้ไว้กับทีมย่อมดีกว่าไม่มีแน่นอน
เหตุผลประกอบการพิจารณาอื่นๆ
- ซานโชอายุน้อยเพียงแค่ 21 ปี ยังมีโอกาสที่จะทำเงินกลับมาให้สโมสรได้ในอนาคตหากมีการย้ายทีม
- ในปีนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่มีคู่แข่งเบียดแย่งตัวอย่างจริงจัง แต่หากปล่อยให้ไปถึงฤดูกาลหน้าก็ไม่แน่
- ซานโชเป็นผู้เล่นอังกฤษ มีผลต่อเรื่องโควตา Home Grown และผลต่อภาพลักษณ์ของทีมที่เป็นศูนย์รวมนักเตะทีมชาติอังกฤษ
- การซื้อซานโชในราคา 73 ล้านปอนด์ เป็นการลงทุนที่ประหยัดกว่าการซื้อศูนย์หน้าอย่าง แฮร์รี เคน ในราคา 150 ล้านปอนด์ขึ้นไป โดยที่ทีมได้เติมตัวผู้เล่นสดใหม่เข้ามาเหมือนกัน
- เป็นการลดความรู้สึกติดลบของแฟนบอลที่มีต่อสโมสรหลังมีกรณีแผนรวบพรีเมียร์ลีก (Project Big Picture) และ European Super League
- ในฤดูกาลใหม่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะพลาดการลงสนามเป็นเวลาร่วม 2 เดือนจากการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซึ่งเรื้อรังมานาน การมีซานโชอยู่ในทีมจะช่วยลดภาระจุดนี้ได้
- เพราะทีมอยากลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบ 8 ฤดูกาลให้ได้ การลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งหมดคือเหตุผลที่ทำให้ ‘ปีศาจแดง’ ตัดสินใจซื้อเพชรเม็ดงามที่สุดของวงการฟุตบอลยุโรปมาประดับทีม
ส่วนซานโชจะเปล่งประกายแวววับเหมือนที่คนคาดหวังหรือไม่ มีแต่เขาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
แต่ต่อให้ยังไม่ให้คำตอบ ก็มีแฟนบอลอีกหลายทีมที่มองค้อนกันขวับด้วยความอิจฉาแล้ว…
อ้างอิง:
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12342746/jadon-sancho-to-man-utd-why-the-borussia-dortmund-winger-is-their-no-1-transfer-target-this-summer
- https://www.bbc.com/sport/football/57826019
- https://thestandard.co/jadon-sancho-transfer/
- https://thestandard.co/jadon-sancho-or-mason-greenwood-for-manchester-united/
- https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/man-united-tickets-sancho-debut-21051295