×

กลุ่มทิสโก้โชว์กำไรครึ่งปีแรก 3,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8% จากปีก่อนหน้า เผยรายได้ดอกเบี้ยลด 5% ตามสินเชื่อที่ชะลอตัว

15.07.2021
  • LOADING...
ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์

ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในช่วงไตรมาส 2/2564 ว่ามีกำไรสุทธิ 1,666 ล้านบาท ลดลง 97 ล้านบาท หรือ 5.5% จากไตรมาส 1/2564 ตามผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากทุกธุรกิจหลักอ่อนตัวลง ทั้งค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัย ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน 

 

ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของกลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิจำนวน 3,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจตลาดทุนที่ปรับตัวดีขึ้น และการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน ในขณะที่รายได้หลักจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยังคงอ่อนแอ ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 5.0% จากการชะลอตัวของสินเชื่อ เนื่องจากวิกฤตโควิดที่ยังยืดเยื้อ ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 32.3% หลักๆ มาจากค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุน และการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการตั้งสำรองล่วงหน้าในช่วงต้นปี 2563 ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 17.7% 

 

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีจำนวน 213,995 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการชะลอตัวของทุกธุรกิจ ตามการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังในภาวะความเสี่ยงที่สูงขึ้น และการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจและ SMEs ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% จากลูกหนี้ปรับโครงสร้างบางส่วนที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ยังคงอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 213.7% 

 

นอกจากนี้ธนาคารทิสโก้ยังมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 24.1% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.3% และ 4.8% ตามลำดับ

 

“เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกยังเปราะบางและคาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำ แม้จะมีแรงหนุนจากฐานที่ต่ำมากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หากมองไปในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอเพิ่มมากขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่ยังรุนแรงและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก นำไปสู่การบังคับใช้มาตรการปิดเมือง (Lockdown) ในบางพื้นที่ ซึ่งจะกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคเอกชนให้มีแนวโน้มชะลอตัวลงยิ่งกว่าเดิม และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้” ศักดิ์ชัย กล่าว 

 

ศักดิ์ชัย ระบุว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรงมากกว่าที่คาดนี้ การให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างทันการณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และกลุ่มรายย่อย โดยแนวทางที่ทิสโก้ให้ความช่วยเหลือจะอยู่ในรูปแบบของการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การปรับลดค่างวด การขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การปรับวิธีผ่อนชำระแบบขั้นบันได เป็นต้น ในส่วนของลูกค้าธุรกิจยังให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และสินเชื่อฟื้นฟูของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอนุมัติวงเงินแล้วจำนวน 4,000 ล้านบาท 

 

ขณะที่ลูกค้ารายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเช่าซื้อและจำนำทะเบียนรถยนต์ หากทำการปรับโครงสร้างหนี้แล้วยังผ่อนชำระไม่ไหว สามารถนำรถมาคืนในโครงการพิเศษ ‘คืนรถจบหนี้’ ได้ โดยลูกค้าต้องผ่อนชำระมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 งวด และหากอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ทิสโก้จะยกหนี้ให้ทั้งหมด โดยไม่ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม ไม่มีค่าธรรมเนียม และระบุสถานะเป็นปิดบัญชี ทำให้ลูกค้าจะไม่เสียประวัติเครดิตและไม่มีภาระหนี้ผูกพันในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จในภาวะวิกฤต ในอนาคตยังมีโอกาสกลับมาทำธุรกรรมขอสินเชื่อได้ใหม่ ซึ่งเอื้อให้เกิดผลดีต่อระบบโดยรวม ทั้งการลดจำนวนคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาล 

 

“นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิดตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทิสโก้ให้ความช่วยเหลือและดูแลลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่างๆ ตามความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภท ทำให้มีลูกค้าจำนวนมากสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ที่ยาวนานขึ้น ทิสโก้จึงขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือต่อจนถึงสิ้นปี สอดคล้องไปกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันทิสโก้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ไปแล้วกว่า 150,000 ราย” ศักดิ์ชัย กล่าว 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising