ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 กรกฎาคม) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,552.09 จุด เพิ่มขึ้น 8.42 จุด หรือ 0.55% มูลค่าการซื้อขาย 85,261.14 ล้านบาท โดยตลอดวันดัชนีเคลื่อนไหวสลับทั้งในแดนบวกและแดนลบ จนกระทั่งมีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการล็อกดาวน์ ดัชนีก็เริ่มรีบาวด์กลับขึ้นมาได้
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย Price In ความกังวลเรื่องการใช้มาตรการล็อกดาวน์มาตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งมีการคาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะเป็นมาตรการที่เข้มข้น หรือเทียบกับเท่ากับการล็อกดาวน์ทั้งประเทศในปลายไตรมาส 1 ปี 2563
ดังนั้นเมื่อมีมติ ศบค. ประกาศออกมาแล้วไม่ใช่มาตรการเข้นข้นตามที่กังวล ดัชนีจึงรีบาวด์ (Rebound) กลับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังเป็นการรีบาวด์แค่ช่วงสั้นเท่านั้น
ส่วนแนวโน้มดัชนีนี้ (12-16 กรกฎาคม) ประเมินกรอบที่ 1,530-1,577 จุด โดยดัชนียังเคลื่อนไหวตามตัวเลขผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิต ซึ่งตลาดประเมินว่าน่าจะได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อถึงระดับหมื่นรายขึ้นไปติดต่อกันหลายวัน ปัจจัยนี้จะกดดันดัชนีอย่างต่อเนื่องไปตลอดสัปดาห์หน้า และหากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อยังไม่คลี่คลาย หรือตัวเลขไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะมีความกังวลเรื่องการต่ออายุการล็อกดาวน์ออกไปอีก ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและทางสาธารณสุขมากขึ้น
“ส่วนตัวคิดว่ามาตรการเท่าที่ออกมาไม่สามารถกดตัวเลขผู้ติดเชื้อลงมาได้ เพราะตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แค่การกระจายฉีดวัคซีนเท่านั้น แต่มีเรื่องการกลายพันธุ์เข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งวัคซีนที่เร่งฉีดในประเทศไม่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้”
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้เลือกหุ้น Mid and Small Cap ที่ได้ประโยชน์จากกระแสการ Work from Home เช่น SIS, SYNEX กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และกลุ่มโลจิสติกส์ เช่น WICE
ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ ประเมินว่าจะเป็นเป้าหมายขายของนักลงทุนต่างประเทศอยู่ อีกทั้งยังมีปัจจัยลบเฉพาะกลุ่ม โดยกลุ่มธนาคารจะเริ่มประกาศผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ซึ่งต้องติดตามทั้งกำไรและการตั้งสำรอง ส่วนกลุ่มพลังงานก็ยังต้องติดตามท่าทีของผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกอย่าง OPEC+