ความจริงเดนมาร์กไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกือบต้องสูญเสีย คริสเตียน อีริกเซน กองกลางคนสำคัญ ขวัญของทั้งเพื่อนร่วมทีมและของคนทั้งชาติไปแบบไม่มีวันกลับตั้งแต่เกมแรกของยูโร 2020 ที่พวกเขาต้องจำใจกลับมาลงสนามใหม่และแพ้ต่อฟินแลนด์ทั้งที่หัวใจไม่พร้อมจะแข่งขัน
แต่วันนี้เดนมาร์กกำลังจะลงสนามพบกับทีมชาติเช็กในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของยูโร 2020 รายการที่พวกเขาก้าวมาได้ไกลที่สุดนับตั้งแต่เรื่องราวของ ‘เทพนิยายเดนส์’ ในปี 1992 ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแค่เล่นสนุกแต่ใครดูก็รู้ว่าทีมนี้เล่นด้วยหัวใจจริงๆ
หนึ่งในคนที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งคือนักเตะวัย 20 ปีที่ได้รับบทบาทในการสร้างสรรค์เกมแทนที่ของจอมทัพเบอร์หนึ่งอย่างอีริกเซน และวันนี้กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของยูโรหนนี้
ณ เข็มนาฬิกาเดินไปไม่มีใครไม่รู้จัก มิคเกล ดัมส์การ์ด แล้ว
นักเตะที่ย้ายมาซามพ์โดเรียในเดือนสิงหาคม 2020 ด้วยค่าตัวเพียง 5.8 ล้านปอนด์เป็นหนึ่งในสตาร์แห่งอนาคตที่สโมสรใหญ่หลายแห่งให้ความสนใจอยากได้ตัวไปร่วมทีม และได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติมายูโรหนนี้ในฐานะตัวตายตัวแทนของอีริกเซน
บทบาทที่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องขึ้นมาสวมแทนจริง และเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับไอคอนในดวงใจทำให้ดัมส์การ์ดยิ่งต้องพยายามมากขึ้นไปอีก
“ผมได้แรงบันดาลใจจากเขาเต็มร้อย” ดัมส์การ์ดให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวในบ้านเกิด Ritzau ในช่วงก่อนที่เดนมาร์กจะลงสนามพบกับสาธารณรัฐเช็กคืนนี้ “เขาเป็นหนึ่งในคนที่ผมตามดูมากที่สุด ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นแบบเขาและผมก็เล่นเป็นหมายเลข 10 แบบเดียวกับเขา
“ผมพบแรงบันดาลในมากมายจากการศึกษารายละเอียดในการเล่นของเขา วิธีการหาพื้นที่ว่างของเขา ผมพยายามจะเล่นให้ได้เหมือนแบบนั้นตั้งแต่ยังเล็กๆ และจากนั้นผมก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติและได้เห็นเขาลงซ้อมในระยะใกล้ๆ เลย”
โค้ชคนแรกในชีวิตของเด็กคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพ่อของเขาเอง
“พ่อเข้มงวดกับผมมาก” สตาร์วัย 20 ปีเล่าถึงพ่อที่เป็นโค้ชของทีมฟุตบอลท้องถิ่นที่ชื่อว่า ชูลลิงก์ (Jyllinge) “ผมต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ผมคิดว่าพ่อคงมีความฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ผมก็รู้สึกดีนะที่พ่อสอนผมอย่างเข้มงวด”
จากการสอนของพ่อ ก้าวเดินต่อไปคือสโมสรอาชีพอย่างนอร์ดสเยลลันด์ (Nordsjælland) ที่แมวมองมาเห็นฟอร์มของเขาเข้าและรู้ว่าเด็กคนนี้ไปได้ไกลแน่นอน ซึ่งสายตาของแมวมองก็แม่นยำจริงเมื่อดัมส์การ์ดพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วและได้โอกาสลงประเดิมสนามให้สโมสรตั้งแต่อายุ 17 ปีเมื่อ 4 ปีก่อน
ครั้งนั้นโค้ชที่ให้โอกาสเขาลงเล่นคือ แคสเปอร์ ฮูลมานด์ ซึ่งมาเป็นโค้ชทีมชาติเดนมาร์กคนปัจจุบัน! เล่าถึงความพิเศษของเด็กคนนี้ว่า “มิคเกลจะนำหน้าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ ในหัวของเขาจะคิดล่วงหน้าได้ไวกว่าคนอื่น 1-2 วินาที” ฮูลมานด์เผย
“เขาเล่นเหมือนกับเขามีเวลามากกว่าคนอื่น และเขาก็เล่นแบบนี้มาตลอด เขามีปฏิกิริยารับรู้ที่ไวอย่างเหลือเชื่อต่อเวลา พื้นที่ และการเคลื่อนไหวรอบๆ ตัวเขา ซึ่งเขาจะประมวลทุกอย่างเข้าด้วยกันและสามารถสร้างโอกาสได้จากการจ่ายบอลสั้นๆ ง่ายๆ ตอนนี้เขายิ่งไวขึ้นกว่าช่วงปีก่อนอีก และยิ่งเติบโตขึ้นร่างกายเท่าไรเราก็จะได้เห็นเขากลายเป็นนักเตะระดับท็อปมากขึ้นเท่านั้น”
แต่ถึงจะพกพรสวรรค์มาเต็มกระเป๋า ดัมส์การ์ดกลับไม่ได้เป็นนักเตะที่เย่อหยิ่งและขี้เกียจในการจะช่วยทีม ในทางตรงกันข้ามการทำงานหนัก ความทุ่มเทที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังมาจากพ่อ
“ผมเชื่อในเรื่องของการทำงานหนัก” พ่อของเขาเคยให้สัมภาษณ์ในสารคดีของสโมสรนอร์ดสเยลลันด์เมื่อปีกลาย “และมันเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ด้วยว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ เขาจึงเป็นคนที่ทุ่มเทหนักมาก”
ขณะที่ เคลาดิโอ รานิเอรี นายใหญ่ในทีมซามพ์โดเรียรู้ดีว่าเด็กคนนี้มีของ แต่ก็เคยเตือนใจทุกคนเอาไว้ “ถึงเขาจะเป็นเด็กที่พิเศษโดยที่ไม่มีอะไรให้เราต้องสงสัย แต่ก็อย่าได้โยนความกดดันให้กับเขามากเกินไป”
แต่จากผลงานที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่าดัมส์การ์ดกลายเป็นความหวังสูงสุดของชาวเดนมาร์ก
และเขาก็ดูยินดีที่จะสู้ ไม่ใช่เพียงแค่ชาวเดนมาร์กหรือตัวเอง แต่ยังสู้เพื่อฮีโร่ของเขาที่ไม่อาจลงสนามได้ด้วย
อ้างอิง: