ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ ปิดตลาดเมื่อวานนี้ (29 มิถุนายน) ขยับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างเฝ้ารอการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจในช่วงปลายสัปดาห์ อย่างเช่นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขที่ออกมาน่าจะช่วยยืนยันความมั่นคงในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับการซื้อขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน ทำให้ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ปรับตัวบวก
ทั้งนี้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.02 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 34,292.29 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.19 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 4,291.80 จุด ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 27.83 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 14,528.34 จุด
เมื่อวานนี้ The Conference Board สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ เปิดเผยผลการสำรวจที่พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวพุ่งขึ้นสู่ระดับ 127.3 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของโควิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 และเพิ่มขึ้นจากระดับ 120.0 ในเดือนพฤษภาคม จนสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 119.0
ข้อมูลดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเพื่อขานรับการที่ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง มอร์แกน สแตนเลย์, เจพีมอร์แกน, ธนาคารแห่งอเมริกา, โกลด์แมน แซคส์ และเวลส์ฟาร์โก ต่างพากันเพิ่มการจ่ายเงินปันผล หลังจากที่ธนาคารเหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต หรือ Stress Test ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้
ส่วนหุ้นของ Boeing ผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังจากที่สายการบิน United Airlines ประกาศซื้อเครื่องบิน Boeing Max จำนวน 200 ลำ เช่นเดียวกันกับหุ้นในกลุ่มก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น หลังดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวันจันทร์ โดยหุ้น Apple เพิ่มขึ้น 1.2% และ Microsoft เพิ่มขึ้น 1%
สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานความเห็นจากนักวิเคราะห์ที่ออกมาคาดการณ์ว่า หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ เวลานี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และยังไม่เห็นสัญญาณขาลงในอนาคตอันใกล้แต่อย่างใด แม้จะมีข้อติดขัดจากการที่ทางการสหรัฐฯ ยกระดับคุมเข้มและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น การผูกขาดตลาด หรือการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล
ขณะนี้หุ้นในกลุ่ม FAANGs (Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google) พ่วงด้วย Microsoft และ Tesla มีมูลค่าตลาดรวมกันถึง 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนราว 25% ของมูลค่าตลาดของบริษัททั้งหมดในดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 38.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านราคาน้ำมันเมื่อวานนี้ (29 มิถุนายน) ขยับขึ้นเล็กน้อย หลังเลขาธิการโอเปกคาดอุปสงค์กำลังฟื้นตัวในปี 2021โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสงวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 7 เซนต์ ปิดที่ 72.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 74.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนราคาทองคำขยับปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน หลังสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมลดลง 16.20 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 1,763.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่เมื่อเทียบในส่วนอัตรารายเดือนพบว่า ราคาทองคำในมิถุนายนปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 4 ปี โดยนักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง และอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วง 2-3 เดือนนี้
พิสูจน์อักษร:
อ้างอิง:
- https://apnews.com/article/financial-markets-europe-asia-health-coronavirus-pandemic-ae3ebf00bd59cea6c479d0aeb0e8b29f
- https://www.cnbc.com/2021/06/29/this-chart-shows-we-are-past-peak-inflation-fear-supporting-the-stock-market-rally.html
- https://edition.cnn.com/2021/06/29/investing/tech-stocks-faang-microsoft-tesla/index.html
- https://www.aljazeera.com/economy/2021/6/29/gold-sees-biggest-monthly-drop-since-2016