วันนี้ (28 มิถุนายน) สุทิน คลังแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดมหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชาชนต้องการให้ ส.ส และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สละเงินเดือนเพื่อนำมาจัดซื้อวัคซีนที่ในการป้องกันโรคโควิด-19 ว่าเป็นประเด็นที่เมื่อถึงคราวที่จะต้องทำก็ไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันแม้ว่า ส.ส. และ ส.ว. ได้ร่วมกันสละเงินเดือน ก็จะเป็นเงินในส่วนน้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนจากทั่วประเทศ แต่การให้สมาชิกรัฐสภาสละเงินเดือนก็จะได้ข้อคิดและประโยชน์กลับมาคือ การสร้างสำนึกให้ทุกคนมีความเสียสละ โดยส่วนตัวในประเด็นเรื่องสละเงินเดือนเพื่อให้พี่น้องประชาชนตนไม่ติดขัด แต่ก็อยากจะให้มองกลับไปอีกจุดหนึ่งว่างบประมาณที่จะนำมาจัดซื้อวัคซีนให้เพียงพอนั้นอยู่ที่การบริหารของรัฐบาล โดยรัฐบาลจะต้องไปประหยัดงบส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น นำมาปรับใช้ในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อวัคซีนหรือการซื้อเตียงนอน ยารักษาโรค รวมถึงอุปกรณ์ในระบบสาธารณสุขด้วย
“รัฐบาลควรพิจารณาประหยัดงบประมาณในส่วนอื่น เช่น งบประมาณของกองทัพในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเมื่อประหยัดงบประมาณในส่วนดังกล่าวได้แล้ว และขอให้ทาง ส.ส. และ ส.ว. มาร่วมบริจาคเงินเดือนเพื่อสมทบแนวคิดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และเป็นวิธีที่จะสามารถแก้ปัญหาได้” สุทินกล่าว
นอกจากนี้สุทินยังกล่าวถึงญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ไม่ผ่านมติจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้บัญญัติประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญค่อนข้างยาก โดยที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่มีบทบัญญัติในการนำสู่แก้รัฐธรรมนูญได้ยากเท่ากับฉบับปัจจุบัน เช่น จะต้องใช้เสียงโหวตของสมาชิกวุฒิสภาในการขอแก้รัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือไม่น้อยกว่า 84 เสียง จึงเป็นช่องทางที่เปิดให้วุฒิสภาสามารถคว่ำร่างขอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ทั้งนี้เมื่อมองคะแนนเสียงในการขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 13 ร่าง จะเห็นได้ว่า ส.ส. ได้ร่วมกันลงมติในทุกร่างเกินกึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่ผ่านนั้นก็มาจากคะแนนเสียงสนับสนุนของวุฒิสภาไม่เพียงพอ คือน้อยกว่า 84 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นหากจะกล่าวได้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถูกตีตกไปเพราะวุฒิสภาก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิด ต้องยอมรับว่าถูกตีตกเพราะ ส.ว. จริงๆ