รอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลยูโร 2020 ลุล่วงไปแล้วครึ่งทาง นั่นหมายความว่าเราได้ทีมเข้ารอบน็อกเอาต์แบบระบุที่นั่งได้ในฐานะแชมป์และรองแชมป์กลุ่มเพิ่มไปอีก 4 ชาติในกลุ่ม B และ C จากเกมที่เนเธอร์แลนด์เอาชนะมาซิโดเนียเหนือ 3-0 ตามด้วยออสเตรียชนะยูเครน 1-0 และคู่ดึกที่เบลเยียมทุบฟินแลนด์ 2-0 และเดนมาร์กถล่มรัสเซีย 4-1 ซึ่งทั้ง 4 เกมก็นำมาสู่เรื่องราวน่าสนใจในการลงสนามของพวกเขา
การเข้ารอบน็อกเอาต์ราวกับปาฏิหาริย์ของเดนมาร์ก
เดนมาร์กกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยูโรกว่า 60 ปี ที่แพ้ใน 2 นัดแรกแล้วกลับมาเข้ารอบได้ในฐานะทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่หากไม่มีปัจจัยจากอีกสนามที่เบลเยียมพบกับฟินแลนด์เข้ามามีส่วนร่วม และในท้ายที่สุดผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นก็เข้าทางของพวกเขาทั้งหมด จึงสามารถพูดได้ว่าทัพ ‘โคนม’ เข้ารอบได้ด้วยความเก่งและเฮงไปพร้อมๆ กัน และคงจะง่ายกว่าถ้าเรามาว่าถึงเหตุการณ์นี้ไปทีละฉาก
เงื่อนไขที่เดนมาร์กจะเข้ารอบในฐานะที่ 2 ของกลุ่มก่อนเกมนั้นมีอยู่ทางเดียว คือพวกเขาต้องชนะรัสเซียด้วยสกอร์ที่มากที่สุด และลุ้นให้ฟินแลนด์พ่ายต่อเบลเยียมให้เยอะที่สุด ที่ต้องเป็นแบบนั้นเพราะว่าในการแข่งขันยูโรครั้งนี้ สิ่งแรกที่ถูกนำมาใช้ตัดสินเมื่อสกอร์เสมอกันคือผลงานการเจอกัน แล้วค่อยตามด้วยประตูได้เสีย นั่นหมายความว่าถ้ามีแค่ 2 ทีมที่มีแต้มเท่ากัน ดูแค่เฮดทูเฮดก็จบ แต่ถ้าเฮดทูเฮดเสมอกัน ค่อยมาดูประตูได้เสีย แต่กรณีของเดนมาร์กมันซับซ้อนกว่านั้น เพราะมีถึง 3 ทีมที่มีคะแนนเท่ากัน ถ้าเดนมาร์กเอาชนะรัสเซีย พร้อมกับฟินแลนด์พ่ายเบลเยียม คือ เดนมาร์ก รัสเซีย และ ฟินแลนด์นั่นเอง
การที่ 3 ทีมมีคะแนนเท่ากัน กฎเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าให้ดูผลงานการเจอกันของ ‘ทุกทีม’ ที่มีคะแนนเท่ากัน และเมื่อรัสเซียชนะฟินแลนด์ > ฟินแลนด์ชนะเดนมาร์ก > เดนมาร์กชนะรัสเซีย เป็นงูกินหางเช่นนี้ การตัดสินทีมเข้ารอบจึงต้องไปวัดกันที่ผลต่างประตูได้เสีย และนี่เองที่ทำให้สถานการณ์ใน 2 สนามพลิกผันกันไปตามประตูที่เกิดขึ้น
เมื่อ มิคเกล ดัมส์การ์ด ยิงประตูให้เดนมาร์กออกนำรัสเซียในช่วงท้ายครึ่งแรก ตอนนั้นที่สนามเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม เบลเยียมยังเสมอกับฟินแลนด์ ทำให้ฟินแลนด์จะเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่มจากการมี 4 คะแนน โดยที่เดนมาร์กจะจบอันดับ 3 เพราะถึงมี 3 คะแนนเท่ารัสเซียถ้าจบด้วยผลการแข่งขันเช่นนี้ก็จะมีเฮดทูเฮดเหนือกว่าทัพ ‘หมีขาว’ แต่อันดับ 3 กับ 3 คะแนนนั้นไม่ใช่สิ่งที่การันตีเข้ารอบได้ เดนมาร์กจึงต้องสู้ต่อไป
ในครึ่งหลัง เมื่อทีม ‘โคนม’ ได้ประตูที่ 2 ในนาทีที่ 59 จาก ยุสซุฟ โพลเซน สถานการณ์ก็เริ่มเข้าทางพวกเขา เพราะด้วย 2-0 ถ้าฟินแลนด์พ่ายเบลเยียมแค่ประตูเดียว เดนมาร์กก็จะเข้ารอบในฐานะทีมรองแชมป์กลุ่มทันทีแม้จะมี 3 คะแนนเท่ากันถึง 3 ทีม เนื่องจากประตูได้เสียจะกลายเป็นเดนมาร์ก = 0, ฟินแลนด์ = -1 และรัสเซีย = -2
แฟนบอลที่พาร์เคน สเตเดียมได้เฮเสียงดัง เมื่อ โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าของเบลเยียมยิงประตูเข้าไปในนาทีที่ 65 จังหวะนั้นกลายเป็นภาพในฝันที่แฟนเดนมาร์กวาดไว้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาจะเข้ารอบทันทีถ้าเกมจบลงตรงนั้น แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมาแฟน ‘โคนม’ ก็เงียบกริบอีกครั้ง เพราะ VAR มาริบประตูของลูกากูคืนกลับไป จนสถานการณ์พลิกผันอีกครั้ง เมื่อ อาร์เทม ซูบา ยิงลูกที่จุดโทษในนาทีที่ 70 ทำให้รัสเซียกลับมามีฮึด และสถานการณ์ในเกมที่โคเปนเฮเกนก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ในมือของเดนมาร์กอีกแล้ว
แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมา แฟนของเดนมาร์กในสนามก็ได้เฮกันอีกครั้ง และคราวนี้คือการเฮกันของจริง เมื่อ ลูคัส ฮราเด็คกี ทำบอลเข้าประตูตัวเองให้เบลเยียมขึ้นนำ ในจังหวะนั้นเองแม้ทั้งเดนมาร์กและฟินแลนด์จะมี 3 คะแนนและประตูได้เสีย -1 เท่ากัน แต่เดนมาร์กจะเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เนื่องจากประตูที่ยิงได้มากกว่า อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่ปลอดภัยอยู่ดีกับสกอร์นำแค่ 1 ลูก เพราะหากรัสเซียยิงตีเสมอได้ก็จะกลายเป็นทีม ‘หมีขาว’ ที่หยิบชิ้นปลามันเข้ารอบไปแทนจากการมี 4 คะแนน
ดังนั้นเมื่อ อันเดรียส คริสเตียนเซน มาซัดประตูให้เดนมาร์กทิ้งห่างเป็น 3-1 ทุกอย่างก็แทบจะจบลง เพราะความกดดันที่เกรงว่าจะโดนตีเสมอของทีมก็หายไป หลังจากนั้นพวกเขาก็มาได้ข่าวดีเพิ่ม เมื่อลูกากูมายิงประตูที่ 2 ให้เบลเยียม ซึ่งเหมือนประตูที่การันตีว่าฟินแลนด์แพ้แน่ๆ และเมื่อความกดดันหายไป เดนมาร์กก็มาได้ประตูฝังรัสเซียเพิ่มในนาทีที่ 82 จาก โยอาคิม เมห์เล ทำให้สกอร์จบลงด้วยชัยชนะของเดนมาร์ก 4-1 และอีกคู่ เบลเยียมชนะฟินแลนด์ 2-0
เดนมาร์กได้เข้ารอบในฐานะอันดับที่ 2 ของกลุ่ม B จากการมี 3 คะแนน และประตูได้เสีย +1 เข้าไปพบกับเวลส์ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ตามหลังเบลเยียมที่เข้าไปเป็นที่ 1 ในกลุ่มนี้ ส่วนฟินแลนด์ที่จบอันดับที่ 3 ด้วย 3 คะแนนพร้อมประตูได้เสีย -2 ต้องไปลุ้นหนักว่าจะได้เข้ารอบต่อไปหรือไม่ และรัสเซียกลายเป็นทีมที่โชคร้ายที่สุด เพราะตกรอบไปพร้อมกับผลต่าง -5
ความทรงในเวลา 20 ปี กับการลงสนาม 122 นัด และซัดไป 38 ประตูของ โกรัน ปานเดฟ
เกมนัดสุดท้ายในกลุ่ม C ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับมาซิโดเนียเหนือที่โยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา เป็นเกมที่เรียกได้ว่าไร้ความหมายในแง่ของการแข่งขัน เนื่องจากมันไม่มีผลต่อทั้งสองทีม รวมไปถึงยังไม่มีผลต่อทั้งออสเตรียและยูเครนที่เล่นกันในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนียในเวลาเดียวกันด้วย ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า ‘อัศวินสีส้ม’ เข้ารอบไปแล้วด้วยตำแหน่งอันดับที่ 1 ของกลุ่ม ถึงแม้ว่าเกมนี้พวกเขาจะพ่ายแพ้ด้วยสกอร์มากมายเพียงใด อันดับก็ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับมาซิโดเนียเหนือที่ตกรอบไปแล้วด้วยการการันตีบ๊วยกลุ่มแบบไม่มีลุ้นอะไรอีกเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้สวยงามและมีความหมายในแง่ของความรู้สึก ทั้งกับบรรดานักเตะ สต๊าฟโค้ช และแฟนบอล คือการลงสนามนัดสุดท้ายของผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งจะกลายเป็นตำนานของมาซิโดเนียเหนืออย่าง โกรัน ปานเดฟ ผู้ซึ่งเป็นกัปตันทีมที่สร้างประวัติศาสตร์พาชาติของเขาเข้าสู่ฟุตบอลยูโรได้ครั้งแรกอย่างเหนือความคาดหมาย
ปัจจุบันปานเดฟอยู่ในวัย 37 ปีแล้ว ไม่ใช่แค่ถึงเวลารีไทร์จากทีมชาติเท่านั้น แต่เวลาอำลาสนามในการเป็นนักเตะอาชีพก็ใกล้เข้ามาเต็มที แม้จะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว เพราะความสำเร็จในระดับอาชีพเขาก็ผ่านมามากมาย ทั้ง แชมป์กัลโช เซเรีย อา, แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, แชมป์สโมสรโลก และแชมป์โคปปา อิตาเลีย แถมยังพาชาติของตัวเองมาอยู่ในเวทีใหญ่ในคราวนี้สำเร็จด้วย
แม้ในเกมฟุตบอลจะจบลงด้วยชัยชนะของเนเธอร์แลนด์ 3-0 และเก็บ 9 คะแนนเต็มจาก 3 นัด แต่ในความรู้สึกของแฟนบอล ภาพที่ตำนานคนนี้ได้รับการตั้งแถวเกียรติยศเพื่อส่งเขาออกจากสนามก็น่าจะเป็นภาพที่ประทับใจไม่แพ้กับเกมที่เกิดขึ้น ตลอดเวลา 20 ปีที่ลงสนามรับใช้ชาติไป 122 นัด และยิงไป 38 ประตูให้กับมาซิโดเนียเหนือนั้น เกินพอที่จะเรียกชายคนนี้ว่าเป็นตำนาน
39 ปีที่รอยคอยของออสเตรีย
ชัยชนะเหนือยูเครน 1-0 ทำให้ออสเตรียเก็บ 6 คะแนนจาก 3 นัดในกลุ่ม C และการันตีการเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งพวกเขาต้องรอนาน 39 ปี เพื่อที่จะได้เข้าสู่รอบน็อกเอาต์ในฟุตบอลเมเจอร์ระดับชาติอีกครั้ง ก่อนจะมาทำสำเร็จในยุคของ ฟรังโก โฟดา ขณะที่ทีมของ อังเดรย์ เชฟเชนโก ต้องไปเผชิญหน้ากับโชคชะตาในการจัดอันดับทีมที่ 3 ที่ดีที่สุด ซึ่งคงต้องลุ้นกันต่อไป
อย่างไรก็ตามงานหนักสาหัสรอทีม ‘นกกระจอกเทศ’ อยู่ในรอบต่อไป เพราะคู่แข่งของพวกเขาคือทีมแชมป์กลุ่ม A อย่างอิตาลี ที่ผ่านเข้ารอบมาแบบไม่แพ้ใครไม่พอ พวกเขายังไม่เสียประตูให้ใครเลยตลอด 3 นัด ทั้งยังยิงได้มากถึง 7 ประตู เรียกได้ว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ทีมอันดับที่ 3 ของทั้งกลุ่ม B และกลุ่ม C อย่างฟินแลนด์และยูเครนมีเพียง 3 คะแนน ยังส่งผลให้มีอีก 4 ทีมที่การันตีการเข้ารอบไปแล้วหลังเกม 4 คู่เมื่อคืนจบลง ซึ่งได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, สาธารณรัฐเช็ก, อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยทุกทีมที่ว่ามามีคะแนนอยู่ที่ 4 คะแนน ซึ่งอย่างแย่ที่สุดพวกเขาจะการันตีการเป็น 1 ใน 4 อันดับ 3 ที่ดีที่สุดที่ได้เข้ารอบต่อไปแน่นอน
นั่นหมายความว่า ณ ตอนนี้ ขาดอีกแค่ 5 ชาติสุดท้ายเท่านั้น และทางยูเครนที่แพ้มาในเกมนี้ก็หวังว่าพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งในนั้น
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
อ้างอิง:
- https://www.skysports.com/football/news/12016/12338225/england-qualify-for-euro-2020-last-16-following-group-b-and-c-results
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/standings/
- https://talksport.com/football/899573/tottenham-target-mikkel-damsgaard-michael-laudrup-denmark-russia/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024446–ukraine-vs-austria/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024445–north-macedonia-vs-netherlands/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024470–finland-vs-belgium/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024469–russia-vs-denmark/