วันนี้ (16 มิถุนายน) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ระบุว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ การเดินหน้าแผนฉีดวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนมีความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ผมอยากจะอัปเดตให้ทุกท่านทราบถึงโรดแมปที่เรากำลังจะเดินหน้าต่อไป เพื่อเริ่มการพลิกฟื้นจากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ในช่วง 1 เดือนกว่าที่ผ่านมานี้ การที่ผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี สามารถสั่งการโดยตรงได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยบูรณาการการทำงาน และช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในการทำงานใหญ่ที่มีหลายหน่วยงานมาเกี่ยวข้อง วันนี้ได้มีส่วนช่วยให้หน่วยงานและคณะกรรมการชุดต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างฉับไว และเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากยิ่งขึ้น ตลอดจนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด บนพื้นฐานการรับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน และจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วิธีการทำงานแบบนี้เป็นวิธีเดียวกับที่เราเคยใช้เมื่อตอนเริ่มต้นที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปีก่อน
ด้วยวิธีการทำงานแบบนี้ ช่วยให้เราเดินหน้าตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยขจัดปัญหาบางอย่าง รวมทั้งทำให้มีความคืบหน้าในการเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี จนถึงปัจจุบัน เราอยู่ในระหว่างการทำงานกับผู้ผลิตวัคซีนจำนวน 6 รายแล้ว ได้แก่ Pfizer, Johnson & Johnson, Moderna, AstraZeneca, Sinovac และ Sinopharm
นอกจากนั้น ในส่วนของการเดินหน้าจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม จนถึงตอนนี้ ยืนยันการจัดหา โดยมีการลงนามในสัญญาจองหรือสัญญาซื้อไปแล้ว 105.5 ล้านโดส ทำได้เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้สำหรับปีนี้ โดยทั้งหมดจะทยอยส่งมอบเข้ามาภายในปีนี้ และจะทยอยฉีดต่อไป พร้อมกันนี้ เรายังจะเดินหน้าจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกสำหรับปีหน้า
การเดินหน้าตามแผนฉีดวัคซีนนี้ เราจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละกว่า 10 ล้านโดส หากวัคซีนส่งมาเพียงพอในแต่ละเดือน และประมาณต้นเดือนตุลาคมจะมีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกแล้ว จำนวน 50 ล้านคน
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปในอนาคตที่ไกลขึ้นอีก คือการเปิดประเทศและรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยอีกครั้ง นี่คือหนทางสำคัญหนทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถทำมาหากินกันได้มาเป็นระยะเวลานาน
วันนี้ ผมขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วันนับจากวันนี้ ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่า ก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น
นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้วควรเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องมีเงื่อนไขข้อห้ามที่สร้างความยากลำบาก รวมทั้งคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ หากเป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ควรที่จะสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศของตัวเองได้โดยไม่ต้องกักตัวเช่นเดียวกัน
ในส่วนของสถานที่ทำงานและธุรกิจร้านค้าต่างๆ ควรต้องกลับมาเปิดทำการได้ การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศควรทำได้ โดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อบังคับแบบเหมารวมทั้งจังหวัดที่จะสร้างความยากลำบากอีก
ยกเว้นหากมีสถานการณ์ร้ายแรงใหม่เกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้พิจารณาเป็นกรณีไป
ผมขอให้ทุกหน่วยงานภาครัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เริ่มเตรียมการและเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถเปิดให้มีการทำมาหากินของประชาชนได้อีกครั้งตามกรอบเวลาที่ผมได้กล่าวไป ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายเปิดประเทศภายใน 120 วัน เราจะเริ่มนำร่องที่จังหวัดภูเก็ตที่เตรียมผ่อนคลายบางมาตรการ และเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาแบบ Sandbox ผมได้เร่งรัดให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและอนุมัติในช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อจะได้เดินหน้าทำให้เกิดขึ้นจริงตามแผน เป็นการเตรียมการเพื่อเปิดประเทศในระยะต่อไป ด้วยกรอบเวลานี้ ผมคาดหวังว่าถึงตอนนั้น หลายๆ ประเทศคงจะเริ่มผ่อนคลายให้ประชาชนของเขาสามารถเดินทางออกมาท่องเที่ยวได้แล้ว และน่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากพอสมควรที่เลือกเดินทางมาประเทศไทย
ผมรู้ดีว่าการตัดสินใจของผมวันนี้มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะเมื่อเราเปิดประเทศ ไม่ว่าเราจะเตรียมการป้องกันขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เมื่อเราประเมินสถานการณ์และคิดถึงความอยู่รอดในการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องยอมรับความเสี่ยงร่วมกันบ้าง หากความเสี่ยงนั้น เราได้ประเมินอย่างรอบคอบแล้วว่าอยู่ในระดับที่พอจะรับได้ เราต้องจัดลำดับความสำคัญภายใน สำหรับประเทศไทยของเรา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ครับ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย ภารกิจหลักของผมในตอนนั้นคือ พยายามรักษาชีวิตของพี่น้องคนไทย ไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิต ของผู้คนเป็นจำนวนมากๆ การปกป้องชีวิตของผู้คน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การปกป้องชีวิตของคนที่ได้รับเชื้อเท่านั้น แต่เป็นการปกป้องทั้งครอบครัว ไม่ให้ครอบครัวจำนวนมากต้องเจอกับความสูญเสียที่หนักหนาสาหัส เสียเสาหลักของครอบครัว หรือสูญเสียคุณพ่อ คุณแม่ สูญเสียปู่ย่าตายาย ที่ดูแลลูกๆ หลานๆ ของเรา
จนถึงวันนี้ เราทำสำเร็จ ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
นอกจากนั้น อีกหนึ่งปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงได้สำเร็จก็คือ หลีกเลี่ยงการทำลายระบบสาธารณสุขของเรา ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นคงจะส่งผลให้มีผู้เสียจากชีวิตจากโรคภัยอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย จากการที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือไม่มีหมอ ไม่มีพยาบาลมาดูแล เพราะทุกคนยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กันหมด
ขณะนี้ ภารกิจต่อไปของผมคือ ผมต้องทำให้ทุกคนสามารถกลับมาทำมาหากินกันได้ปกติอีกครั้ง โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เราได้เห็นกันแล้วและต้องทำใจว่า ทั่วโลกยังจะต้องอยู่กับไวรัสนี้ต่อไปอีก ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถรอจนไวรัสนี้หมดไปจากโลก และเราก็ไม่สามารถรอจนทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสกันถ้วนหน้าก่อน แล้วจึงค่อยเปิดประเทศ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้เหมือนกับโรคภัยอื่นๆ จัดการโควิด-19 ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับออกมาทำมาหากินกันได้อีกครั้ง นี่คือนโยบายของผม และเป็นเป้าหมายที่ผมตั้งไว้
ดังนั้น เพื่อที่เราจะสามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการเปิดประเทศภายใน 120 วันให้ได้ ผมจะพยายามทำทุกทาง เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนตามกำหนดการ แม้ในความเป็นจริง เราจะเห็นตัวอย่างได้จากในหลายประเทศว่า การส่งมอบวัคซีนจากผู้ผลิตรายต่างๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งเรื่องล่าช้า หรือไม่ครบจำนวนตามที่ตกลง แต่ประเทศไทยเราต้องบริหารจัดการตรงจุดนี้ให้ดี
ในระยะสั้น นโยบายสำคัญของผมคือ อย่างน้อยที่สุดประชาชนทุกคนควรต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะการได้รับวัคซีนแม้แค่เพียงเข็มแรก ก็สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้ในระดับที่มากพอสมควรแล้ว
และในระยะยาว การจัดการกับโควิด-19 คือ การมีฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ตั้งอยู่ในประเทศของเราเอง ซึ่งจะช่วยให้เราทุกคนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ในระยะยาวต่อไป ตราบเท่าที่เราต้องการ
วันนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขทั้งในสิงคโปร์และไต้หวันต่างก็ออกมาพูดว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของเขาในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 คือปัญหาที่เกิดจากการสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตในต่างประเทศ ตอนนี้เขาคิดเหมือนประเทศไทย และเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า หนทางที่จะทำให้ประเทศของตัวเองเข้าถึงวัคซีนได้อย่างยั่งยืนคือ ต้องผลิตในประเทศ นี่คือสิ่งที่เขากำลังดำเนินการอยู่
ในที่สุดนะครับ การมีโรงงานผลิตวัคซีนโควิด-19 อยู่ในประเทศไทย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในระยะยาว ซึ่งแนวทางนี้เราได้เลือกมาตั้งแต่ต้น และถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมต้องขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่แนะนำให้เราเลือกเดินหน้าในแนวทางนี้ และผมขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ที่ร่วมกันดำเนินการจนสำเร็จ
ในการเดินหน้าต่อจากนี้เป็นต้นไป เราอาจจะต้องเจอกับความท้าทายครั้งใหม่ๆ และความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเราเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ผมต้องขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขทุกท่าน อสม. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่แม้ว่าทุกท่านจะเหน็ดเหนื่อยกันมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังนึกถึงว่าพี่น้องคนไทยยากลำบากกันมากขนาดไหน และเราล้วนต้องการร่วมมือกันทุกวิถีทาง เพื่อช่วยลดความเดือดร้อนในการทำมาหากินให้กับพี่น้องคนไทยด้วยกัน แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นหนทางที่จะดีสำหรับประเทศไทย
การปูพรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศให้ได้ครบตามเป้าหมายภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเป็นภารกิจสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บางอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามแผน หรือบางอย่างอาจจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีความไม่แน่นอน ขอให้ทุกคนเปิดใจว่าภารกิจใหญ่ขนาดนี้ที่ต้องเร่งให้เร็วที่สุดและต้องเข้าถึงทุกคน ทุกพื้นที่ ครอบคลุมทั้งประเทศ อาจจะมีความผิดพลาดหรือมีความไม่สะดวกอยู่บ้าง
สุดท้ายนี้ ผมขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรต่างๆ ที่เหนื่อยกันมากว่าปีครึ่งแล้ว และยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่และเต็มใจ อย่างที่ทุกคนคงจะได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วเมื่อไปรับการฉีดวัคซีน เจ้าหน้าที่และบุคลากรทุกคนไม่ใช่เพียงแค่มาทำหน้าที่ให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น แต่เราสัมผัสได้ทั้งจากท่าทาง คำพูด และการกระทำ ว่าทุกคนมาทำหน้าที่ด้วยหัวใจและด้วยความปรารถนาดี ที่ต้องการปกป้องชีวิตของพี่น้องคนไทยด้วยกัน ขอบคุณครับ
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล