แม้จะเป็นค่ำคืนที่ 2 ของการแข่งขัน แต่ก็ถือเป็นคืนแรกที่ยูโร 2020 มีเกมลงฟาดแข้งกันเต็มสตรีมถึง 3 คู่ ทว่าจุดโฟกัสในวันที่ 2 กลับไม่ใช่ผลการแข่งขันหากแต่เป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น และความร่วมมือกันในการผ่านพ้นวิกฤตพร้อมช่วยชีวิตนักเตะในสนาม
ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในเกมระหว่างเกม เดนมาร์ก พบ ฟินแลนด์
‘เคียร์’ และ ‘เทย์เลอร์’ กุญแจสำคัญเซฟชีวิต ‘อีริกเซน’
ทุกคนที่รับชมเกมนี้ต่างไม่มีใครคาดฝันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายครึ่งแรกของเกมที่เดนมาร์กพบกับฟินแลนด์ เมื่อ คริสเตียน อีริกเซน กองกลางจอมทัพ ‘โคนม’ ล้มลงบนพื้นหญ้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทุกฝ่ายรวมถึงคนดูต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มี 2 คนในสนามที่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้เร็วกกว่าคนอื่น และเข้ามากอบกู้สถานการณ์จนเป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาชีวิตของมิดฟิลด์วัย 29 ปี
คนแรกคือ ซิมง เคียร์ กองหลังกัปตันทีมเดนมาร์ก เขาเป็นคนแรกที่ถูกพูดถึงและได้รับการชื่นชมอย่างมากเนื่องจากเป็นคนที่มีสติดีที่สุด ทันทีที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขารีบตรงไปหาร่างของเพื่อนร่วมทีมที่นอนอยู่ริมสนาม และรีบตรวจดูว่าไม่มีสิ่งใดปิดกั้นทางเดินหายใจ และรอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากที่แพทย์ของเดนมาร์กเช็กอาการแล้วดูท่าไม่ดี กัปตันทีมหมายเลข 4 ก็เป็นคนที่ทำ CPR ก่อนที่ทีมแพทย์ในสนามจะตามมาสมทบ
หลังจากที่ปล่อยให้การปฐมพยาบาลเป็นหน้าที่ของแพทย์แล้ว เคียร์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขารู้ดีว่าคนที่ใจเสียที่สุดกับเรื่องนี้คือ ซาบรีน่า ควิสต์ เจนเซน ภรรยาของคริสเตียน เขาจึงรีบไปหาเพื่อพูดคุยและปลอบโยนให้เธอใจเย็นและสงบลง โดยมี แคสเปอร์ ชไมเคิล รองกัปตันทีมที่เข้ามาช่วยพูดคุยและรับช่วงต่อในการปลอบขวัญของเธอ ไม่เพียงเท่านั้นเคียร์กองหลังจากทีมเอซี มิลาน ยังไปบอกกล่าวกับเพื่อนในทีมให้มายืนล้อมอีริกเซนเป็นกำแพงมนุษย์ เพื่อบังสายตาและอำนวยความสะดวกในการทำงานให้ทีมแพทย์ด้วย
ขณะที่ แอนโทนีย์ เทย์เลอร์ ก็มีบทบาทสำคัญ เขาเป่าหยุดเกมอย่างทันท่วงทีหลังจากที่อีริกเซนล้มลงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และเมื่อเห็นอาการอย่างชัดเจน ผู้ตัดสินจากอังกฤษก็รีบออกคำสั่งให้แพทย์ประจำทีมของเดนมาร์กเข้ามาดูอาการ และในเวลาไม่นานหลังจากนั้นก็รีบเรียกทีมแพทย์สนามทันที
เหนือสิ่งอื่นใดแม้ไม่ได้พูดถึงในหัวข้อด้านบน แต่ทีมแพทย์ที่ประจำการในสนามก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ช่วยเซฟชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของมิดฟิลด์อินเตอร์ มิลาน เอาไว้ได้อย่างทันท่วงที และอาจจะต้องชื่นชมแฟนบอลฟินแลนด์ที่อยู่แถวๆ นั้นที่โยนธงชาติผืนใหญ่ลงมาเพื่อใช้บังสายตาในการพานักเตะออกจากสนามไปสู่โรงพยาบาลได้อย่างสะดวกขึ้นด้วย
ทั้งหมดนี้คือเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายที่จบลงได้อย่างไม่มีการสูญเสีย เพราะความมีสติ การตัดสินใจอันยอดเยี่ยม และการทำหน้าที่อย่างดีของทุกฝ่าย แม้พูดไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เกินพอที่จะยกย่องทุกฝ่ายที่ช่วยให้เรื่องไม่เลวร้ายไปกว่านี้
โยเอล โพห์ยันพาโล ไม่ดีใจแม้ทำประตูให้ทีมขึ้นนำได้
ฟินแลนด์พลิกล็อกช็อกโลกโค่นเดนมาร์ก
เกมระหว่างเดนมาร์กกับฟินแลนด์ถูกระงับการแข่งขันไปชั่วคราวหลังจากที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมาแข่งขันกันจนจบได้ ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้การแข่งขันกลับมาแข่งกันต่อได้ ก็คือตัวของอีริกเซนเองที่ลงทุนต่อสายผ่าน FaceTime มาถึงเพื่อนในทีมเพื่อแสดงความต้องการว่าอยากให้ทุกคนลงแข่งขันกันต่อไป
เกมกลับมาเล่นต่อจาก 41 นาทีที่หยุดไปจนหมดครึ่งแรก และพัก 5 นาทีก่อนกลับมาเล่นในครึ่งหลัง โดยทรงเกมก็ยังไม่ต่างจากครึ่งแรกที่เดนมาร์กครองบอลบุกเข้าหาเป็นส่วนใหญ่ ทว่าในนาทีที่ 59 กลับเป็นฝั่งทีมน้องใหม่ที่เข้ามาเล่นในฟุตบอลยูโรเป็นหนแรกอย่างฟินแลนด์ ออกนำไปก่อนจากการโหม่งของ โยเอล โพห์ยันพาโล ที่แม้จะทำประตูได้ เจ้าตัวก็ไม่แสดงความดีใจต่อหน้าแฟนบอลของเดนมาร์ก โดยมีเหตุผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดกับอีริกเซนก่อนหน้านี้
เดนมาร์กมีโอกาสที่จะตีเสมอได้ในนาทีที่ 72 เมื่อพวกเขามาได้ลูกที่จุดโทษจากจังหวะที่ เพาลุส อราจูรี ไปทำฟาวล์ใส่ ยุสซุฟ โพลเซน ในกรอบเขตโทษ โดย ปิแอร์-เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก รับหน้าที่สังหารโดยเลือกยิงบอลเรียดไปทางขวามือของตัวเอง ทว่า ลูคัส ฮราเด็คกี นายทวารของฟินแลนด์กลับพุ่งรับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ดับฝันการตีเสมอของทีม ‘โคนม’ และพาทีมแห่งแดนซานตาคลอสคว้าชัยไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย
เกมนี้ฟินแลนด์ยิงเข้ากรอบแค่เพียงครั้งเดียว และกลายเป็นประตูแรกในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของชาติพวกเขาด้วย นอกจากนี้พวกเขายังได้ 3 คะแนนแรก พร้อมขึ้นไปรั้งที่ 2 ของกลุ่ม B โดยมี 3 คะแนนเท่าเบลเยียม แต่ประตูได้เสียเป็นรองอยู่ 2 ลูก
โรเมลู ลูกากู ทำ 2 ประตู ขึ้นไปรั้งตำแหน่งผู้นำดาวซัลโวยูโร 2020
เบลเยียมดุตามคาดอัดรัสเซีย
แฟนบอลชาวไทยอาจจะไม่ได้ดูเกมคู่นี้อย่างเต็มทีสักเท่าไร เนื่องจากการจบเกมช้ากว่ากำหนดในคู่ที่ 2 ระหว่างเดนมาร์กกับฟินแลนด์ อันมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ที่ยังคงเป็นไปตามคาดก็คือฟอร์มที่ร้อนแรงของทีมอันดับ 1 ของโลก ที่แม้ว่าจะต้องมาเล่นเหมือนเป็นทีมเยือนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เพียงแค่ 10 นาทีแรก เจ้าของฉายา ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ก็ออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็วเมื่อ โรเมลู ลูกากู ยิงด้วยซ้ายให้ทีมนำ 1-0 โดยหลังจากยิงได้ เขาก็วิ่งไปหากล้องแล้วพูดว่า ‘Chris! Chris! I love you!’ ซึ่งเป็นการส่งข้อความถึง คริสเตียน อีริกเซน เพื่อนร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากเหตุการณ์ในเกมก่อนหน้า และหลังจากนั้นในนาทีที่ 34 แอนตัน ชูนิน ผู้รักษาประตูของรัสเซีย ปัดบอลที่เปิดมาไปเข้าทาง โธมัส มูนิเยร์ ยิงเข้าไปให้เบลเยียมนำ 2-0 เมื่อจบครึ่งแรก
ครึ่งหลังเบลเยียมมาได้อีก 1 ประตูในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 88 จากจังหวะที่ โธมัส มูนิเยร์ ไหลบอลทะลุช่องให้ลูกากูหลุดไปยิงสวนตัวผู้รักษาประตูเข้าไป กลายเป็นประตูที่ 2 ของเจ้าตัวและขึ้นไปรั้งตำแหน่งดาวซัลโวแต่เพียงผู้เดียวทันที ก่อนที่จะจบเกมไปด้วยสกอร์ 3-0 ส่งผลให้ทีมหมายเลข 1 ของโลกขึ้นไปนำจ่าฝูงในกลุ่ม B มี 3 คะแนนเท่ากับฟินแลนด์ แต่มีประตูได้เสียดีกว่า ขณะที่รัสเซียหล่นไปรั้งบ๊วยกลุ่ม ยังไม่มีคะแนนเท่ากับเดนมาร์ก แต่ประตูได้เสียแย่กว่า
คีฟเฟอร์ มัวร์ ฮีโร่ของทีม ‘มังกรแดง’ ในเกมนี้
เวลส์ไล่เจ๊าสวิส กลุ่ม A โอกาสยังเปิดกว้าง
กลับมาที่คู่แรกของวันที่เตะไปในช่วงสองทุ่มของเมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน) โดยเป็นเกมคู่ที่ 2 ของกลุ่ม A ที่เวลส์พบกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเกมนี้เล่นกันในกรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน หลังจากที่อิตาลีถล่มตุรกีไปในคืนเปิดสนามถึง 3-0 ทำให้ผู้ที่ได้ชัยชนะในนัดนี้จะได้เปรียบและมีโอกาสเข้ารอบต่อไปสูงมาก
สวิตเซอร์แลนด์เป็นฝ่ายที่สามารถครองเกมได้เหนือกว่ามาก แต่ไม่สามารถที่จะเจาะเกมรับของเวลส์ซึ่งป้องกันอย่างสุดความสามารถ รวมทั้งยังมี แดนนี วอร์ด ผู้รักษาประตูที่โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกันแบบไร้สกอร์ แต่ความพยายามของทีมจากแดนนาฬิกาก็มาประสบความสำเร็จในครึ่งหลัง เมื่อ บรีล เอ็มโบโล โหม่งลูกเตะมุมเข้าไปในนาทีที่ 49 ทว่า คีฟเฟอร์ มัวร์ หัวหอกร่างยักษ์ของทัพ ‘มังกรแดง’ ก็โขกประตูตีเสมอให้ทีมได้ในนาทีที่ 74 ทำให้สุดท้ายเกมนี้เสมอกันไป 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน โดยทั้งคู่รั้งอันดับที่ 2 ร่วมในกลุ่ม A
ผลเสมอทำให้การแข่งขันในกลุ่ม A ยังเปิดกว้างสำหรับทั้ง 3 ทีมอย่าง เวลส์, สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกี ที่แม้จะแพ้มาในเกมแรก โดยทั้งเวลส์และสวิตเซอร์แลนด์ที่เสมอกันในเกมนี้ยังมีคิวที่จะเจอกับของแข็งอย่างอิตาลีที่ตั้งเป้าเก็บ 9 คะแนนเต็ม ส่วนทัพ ‘ไก่งวง’ ที่แม้จะไม่มีคะแนนในเกมแรก แต่พวกเขาก็ไม่ต้องเจอกับอิตาลีแล้วในอีก 2 เกมที่เหลือ ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสเก็บคะแนนและเข้ารอบได้อยู่เหมือนกัน
เกร็ดน่าสนใจในวันนี้
- นับตั้งแต่ปี 2014 ในฟุตบอลรายการเมเจอร์อย่างฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลยูโร เซอร์ดาน ชากิรี (เปิดลูกเตะมุมให้ บรีล เอ็มโบโล โหม่งทำประตู) มีส่วนกับประตู (ไม่ว่าจะยิงเองหรือแอสซิสต์) จำนวน 50% ทั้งหมดที่สวิตเซอร์แลนด์ทำได้
- 4 จาก 6 ประตูที่ คีฟเฟอร์ มัวร์ ทำได้กับทีมชาติเวลส์ มาจากการโหม่ง ขณะที่ 3 จาก 4 ประตูหลังสุดของเขาที่เกิดขึ้นในฟุตบอลยูโรก็มาจากการโหม่งเช่นกัน
- ประตูของ โยเอล โพห์ยันพาโล ที่โหม่งได้ในเกมเอาชนะเดนมาร์ก เป็นประตูแรกในฟุตบอลยูโรรอบสุดท้ายของฟินแลนด์ และยังเป็นประตูแรกของพวกเขาในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ระดับชาติในรอบสุดท้ายด้วย
- ลูคัส ฮราเด็คกี เป็นผู้รักษาประตู 1 ใน 3 คน ที่สามารถเซฟลูกที่จุดโทษได้ในการลงสนามนัดแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยอีกสองคนคือ เพอร์เซมีสลาฟ ไททัน ของโปแลนด์ ในปี 2012 และ โทรลส์ ราสมูสเซน ของเดนมาร์ก ในปี 2000
- โรเมลู ลูกากู มีส่วนร่วม 26 ประตูในการลงสนาม 19 นัดหลังของเขากับทีมชาติเบลเยียม โดยยิงไปทั้งหมด 22 ประตู และมีอีก 4 แอสซิสต์
อ้างอิง: