‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซีประกาศศักดาคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 2 ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ เมื่อเฉือนเอาชนะ ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมคู่ปรับร่วมชาติสุดสูสี 1-0 จากประตูโทนของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ในช่วงปลายครึ่งแรก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่นัดชิงฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นการพบกันเองระหว่างสองสโมสรจากอังกฤษ โดยครั้งแรกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพบกับเชลซีในปี 2008 จากนั้นปี 2019 ลิเวอร์พูลพบกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ โดยการแข่งขันมีขึ้นที่สนามดราเกา ในเมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นสนามที่ถูกใช้แทนอตาเติร์กสเตเดียมในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่มีปัญหาในเรื่องมาตรการการเดินทางของแฟนฟุตบอลอังกฤษ
โดยเกมนี้มีแฟนฟุตบอลเข้าชมทั้งหมด 16,500 คน เป็นโควตาของแต่ละทีม 5,800 คน ที่เหลือคือแขกและสปอนเซอร์ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีหลังจากคู่ชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาลที่แล้วระหว่างบาเยิร์น มิวนิกและปารีส แซงต์ แชร์กแมงเป็นครั้งแรกที่ไม่มีผู้ชมในสนาม แม้ว่าก่อนเกมจะมีการทะเลาะวิวาทกันในเมืองก็ตาม
บรรยากาศสีฟ้า-น้ำเงินครามเข้ากับสนามดราเกาของทีมเอฟซี ปอร์โตเป็นอย่างดี และนัดชิงชนะเลิศคู่นี้ก็ถือว่าเป็นการพบกันของทีมคุณภาพทั้งคู่ โดยทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีลงสนามในระบบการเล่นที่ถนัด แต่มีการจัดทีมที่น่าสนใจ โดย เป๊ป กวาร์ดิโอลา เลือกใช้ แบร์นาโด ซิลวา ลงสนามในแดนกลางร่วมกับ เควิน เดอ บรอยน์ และ อิลคาย กุนโดกัน โดยไม่มีกองกลางรับธรรมชาติ ขณะที่ โธมัส ทูเคิล ส่ง ไค ฮาเวิร์ตซ์ ลงสนามในแนวรุกร่วมกับ ติโม แวร์เนอร์ และเมสัน เมาท์
การตัดสินใจเลือกผู้เล่นส่งผลอย่างมากต่อทีม โดยตลอดครึ่งเวลาแรกนั้นสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทำได้ดีกว่าเชลซีมีเพียงแค่เปอร์เซ็นต์การครองบอลเท่านั้น นอกนั้นทีมจากลอนดอนเหนือกว่าอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด โดยเกมรับสามารถหยุดเกมรุกอันตรายของแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างน่าประทับใจ และจังหวะการเซ็ตเกมรุกใช้การต่อบอลไม่มากแต่แม่นยำ ทำให้เจาะทะลวงหาโอกาสได้เยอะและชัดเจนกว่ามาก
อย่างน้อยในช่วงต้นเกมเชลซีมีโอกาสจากติโม แวร์เนอร์คนเดียวหลายครั้งแม้จะไม่เป็นผลเลยก็ตาม แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ถึงกับไม่มีโอกาส แต่โอกาสนั้นหามาได้ยากกว่า และนักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง หรือ ฟิล โฟเดน เมื่อมีโอกาสทะลุทะลวง แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่สามารถเอาชนะผู้เล่นแนวรับของเชลซีได้
แต่แนวรับที่แข็งแกร่งนั้นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน เมื่อ ติอาโก ซิลวา ได้รับบาดเจ็บที่ขาหนีบและเล่นต่อไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวให้ อันเดรียส คริสเตียนเซน ลงสนามแทนในนาทีที่ 39 ซึ่งภาพของภูผาหินชาวบราซิลที่ต้องเดินออกจากสนามไม่ใช่ภาพที่แฟนบอลเชลซีต้องการเห็นเลย
อย่างไรก็ดี ในอีก 3 นาทีต่อมาพวกเขาเป็นฝ่ายได้ประตูที่ต้องการก่อนในจังหวะที่เมสัน เมาท์แทงทะลุช่องให้ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่เห็นช่องเปิดกว้างหลังแนวรับก่อนจะหลุดเดี่ยวเข้าไปแตะหลบเอแดร์สัน ที่ออกมาดักไม่ทันและส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่ายง่ายๆให้เชลซีนำ 1-0
ประตูนี้เป็นประตูโทนของเกมในครึ่งแรก ในช่วงเวลาที่เชลซีทำได้ดีกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกมรับหรือเกมรุก และเป็นคำถามสำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ต้องหาทางแก้ไขจุดผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งเวลาหลัง
เป๊ปซึ่งเคยเข้าชิงชนะเลิศมาแล้ว 2 ครั้งกับบาร์เซโลนา และคว้าแชมป์ได้ทั้ง 2 ครั้งยังใจแข็งพอที่จะไม่เปลี่ยนแปลงผู้เล่น โดยเฉพาะในแดนกลางที่ดูขาดสมดุลอย่างมากเนื่องจากการไม่มีกองกลางตัวรับอย่างแฟร์นันดินโญ หรือโรดรีลงเล่นและให้กุนโดกันมายืนแทนนั้น นอกจากจะไม่สามารถช่วยปกป้องแนวรับได้ ก็เสียการสนับสนุนเกมรุกของกองกลางทีมชาติเยอรมนีไปด้วย
แต่ถึงนาทีที่ 60 เป๊ปต้องยอมเปลี่ยนแปลงผู้เล่นจนได้ และเป็นคนสุดท้ายที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในสนามอยากจะเห็นการเปลี่ยนตัวอย่างเควิน เดอ บรอยน์ กัปตันทีมที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในจังหวะปะทะกับอันโตนิโอ รูดิเกอร์จนไม่สามารถเล่นต่อได้ไหว ทำให้ กาเบรียล เฆซุส ต้องลงสนามแทน ก่อนที่ แฟร์นันดินโญ กองกลางประสบการณ์สูงจะถูกส่งลงมาแทนแบร์นาโด ซิลวาอีกคนหลังจากนั้นไม่นาน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่แชมป์อังกฤษพยายามเร่งจังหวะการเล่นให้เร็วขึ้น สร้างโอกาสได้ดีขึ้น แต่ปัญหายังเหมือนเดิมคือไม่สามารถเจาะเกมรับของเชลซีที่ปักหลักสู้สุดตัว ตรงข้ามกับคู่แข่งที่เล่นอย่างอดทนเพื่อรอโอกาสทองและเกือบทำได้เมื่อ คริสเตียน พูลิซิช ตัวสำรองที่ลงมาแทนแวร์เนอร์ได้โอกาสยิงในกรอบเขตโทษแต่ซัดหลุดกรอบออกไปไม่ไกล
ยิ่งเวลาผ่าน ฝ่ายที่ยิ่งกดดันคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทำให้เป๊ปตัดสินใจส่ง เซร์คิโอ อเกวโร กองหน้าจอมเก๋าลงมาเป็นตัวสำรองคนที่ 3 แทนที่ ราฮีม สเตอร์ลิง และการลงสนามครั้งนี้จะเป็นรับใช้ทีมสุดท้ายอย่างเป็นทางการของดาวยิงผู้เป็นตำนานของสโมสร ขณะที่เชลซีส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงมาแทนเมาท์เพื่อแพ็กเกมให้แน่นขึ้นไปอีก
อเกวโรและนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทุกคนพยายามโหมเกมในช่วงเวลาที่เหลือ ซึ่งรวมถึงช่วงของการทดเวลาบาดเจ็บที่ยาวนานถึง 7 นาที เนื่องจากมีช่วงที่หยุดปฐมพยาบาลเดอ บรอยน์และรูดิเกอร์อยู่ครู่ใหญ่ แต่เชลซีก็ยังคงต้านทานเอาไว้ได้อย่างสุดกำลัง โดยมีทูเคิลเป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่คอยปลุกเร้าแฟนบอลให้ส่งเสียงเชียร์ทีมให้ดังตลอดเวลา
จังหวะใกล้เคียงมากที่สุดที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะมีลุ้นมาในช่วงนาทีสุดท้ายของการทดเวลาในจังหวะที่ ริยาด มาห์เรซ วอลเลย์นอกกรอบเขตโทษข้ามคานออกไป สุดท้ายเชลซีรักษาสกอร์เอาไว้ได้สำเร็จ เอาชนะในเกมนี้ 1-0 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 2 ไปครอง