วันนี้ (26 พฤษภาคม) สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรับศพแรงงานไทยกรณีเสียชีวิตจากเหตุโจมตีทางอากาศโดยกลุ่มฮามาสในประเทศอิสราเอล โดยมี สุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน, เธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน, ไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน และ เอ็ตตี มิชราคี อัครราชทูต กงสุลประจำสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย
โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้จัดพิธีไว้อาลัยและส่ง ศวีรวัฒน์ การุญบริรักษ์ และ สิขรินทร์ สงำรัมย์ แรงงานไทยจากนิคมเกษตร (โมชาฟ) โอฮาด 2 ราย ที่เสียชีวิตจากจรวดโจมตีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ ท่าอากาศยานเบนกูเรียน
ในโอกาสนี้ผู้เข้าร่วมพิธีได้ยืนสงบนิ่งและจุดเทียนไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต ก่อนที่โลงศพของผู้เสียชีวิตจะถูกลำเลียงไปยังเครื่องบินของสายการบิน EI AI เที่ยวบินที่ LY081 ซึ่งเป็นเที่ยวบินอำนวยความสะดวกนำคนไทยในอิสราเอลกลับประเทศไทยที่สถานเอกอัครราชทูตจัดขึ้น และได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานเบนกูเรียนเวลา 22.00 น. ของวานนี้ (25 พฤษภาคม) และมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันนี้ เวลา 12.30 น. ซึ่งศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายจะถูกนำส่งถึงภูมิลำเนาที่จังหวัดเพชรบูรณ์และบุรีรัมย์ทันทีที่เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นอกจากนี้ พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังได้ดำเนินการจัดให้แรงงานจากโมชาฟโอฮาดที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยจรวดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวน 18 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวรวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ราย ได้แก่ จักรี รัตพลที และ ธนดล ขันธชัย เดินทางกลับประเทศไทยด้วยเที่ยวบินนี้ด้วย
สุชาติ กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยเสียชีวิตและห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งยังได้กำชับให้กระทรวงแรงงานจัดการส่งศพแรงงานไทยกลับภูมิลำเนา และดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีทางอากาศในอิสราเอลในครั้งนี้ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งรับคนงานที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยอีกจำนวน 18 คน ที่ได้เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ เวลา 12.30 น. ซึ่งบริษัทจัดส่งคนงานจะอำนวยความสะดวกในการจัดส่งไปยังสถานที่กักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการ ก่อนที่จะกลับภูมิลำเนาของแรงงาน โดยคาดว่าจะไปถึงเวลาประมาณ 00.00 น. ของคืนนี้ จากนั้นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จะลงไปเยี่ยมครอบครัวของแรงงานและมอบสิทธิประโยชน์การช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
สำหรับแรงงานไทยที่เสียชีวิตทั้ง 2 รายคือ วีรวัฒน์ การุญบริรักษ์ ทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์ในประเทศไทย รวม 94,798.81 บาท ประกอบด้วย 1. เงินสงเคราะห์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ 40,000 บาท และ 2. สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมประเทศไทย 54,798.81 บาท และจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอล ดังนี้ 1. เงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง (ปิซูอิม) ประมาณ 102,820 บาท 2. เงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล เดือนละประมาณ 52,380 บาท และ 3. ค่าจ้างค้างจ่าย
ส่วน สิขรินทร์ สงำรัมย์ ทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์ในประเทศไทย รวม 90,389 บาท ประกอบด้วย 1. เงินสงเคราะห์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ 40,000 บาท และ 2. สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมประเทศไทย 50,389 บาท และจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอล ดังนี้ 1. เงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล เดือนละประมาณ 52,380 บาท และ 2. ค่าจ้างค้างจ่าย (ไม่ได้รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง เนื่องจากทำงานไม่ครบ 1 ปี)
โดยทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานในประเทศไทย ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2564
สำหรับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอลเป็นค่าประมาณการ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล
สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาทายาทเพื่อรับเพื่อเงินทดแทนรายเดือนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอลนั้น ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย ได้แก่ บิดา มารดา ภรรยาที่สมรสตามกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย อายุไม่เกิน 18 ปี โดยส่วนแบ่งที่ทายาทแต่ละคนจะได้รับพิจารณาจากภาวการณ์พึ่งพิงหรือการดูแลที่ได้รับจากผู้เสียชีวิต และความสามารถในการเลี้ยงชีพของทายาท ระยะเวลาการได้รับเงินชดเชย บิดา มารดา ได้รับทุกเดือนจนเสียชีวิต ภรรยาที่สมรสตามกฎหมายได้รับทุกเดือนจนเสียชีวิต หรือสมรสใหม่ บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้รับทุกเดือนจนอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะเร่งติดตามความคืบหน้าต่อไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า