หลังความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อฉุดดัชนีตลาดหุ้นวอลล์สตรีทสหรัฐฯ ดิ่งลงหนักเป็นประวัติการณ์มากกว่า 600 จุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ก็พลิกกลับขึ้นมาพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ (13 พฤษภาคม) โดยปิดตลาดปรับตัวมาอยู่ในแดนบวก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยืนกรานหนักแน่นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินในเร็ววันนี้ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวล และแห่เข้าซื้อหุ้นในตลาดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 433.79 จุด มาอยู่ที่ 34,021.45 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.2% มาอยู่ที่ 4,112.50 จุด โดยหุ้นของบริษัทในแทบทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นกลุ่มพลังงาน ต่างปิดตลาดปรับตัวในแดนบวกกันทั่วหน้า
ด้านดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 0.7% มาอยู่ที่ 13,124.99 จุด โดยได้แรงซื้อของนักลงทุนที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงแรงเมื่อวันก่อนเพื่อเก็งกำไร ทำให้หุ้นบริษัทเทคโนโลยีในตลาดฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว นำโดยหุ้นของ Apple และ Microsoft ที่ดีดตัวฟื้นกลับมามากกว่า 1.5%
ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มธุรกิจเรือสำราญและสายการบิน รวมทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างดีดตัวขึ้นในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง บวกกับการผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงการผ่อนปรนเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ทำให้มีความคาดหวังว่าการเดินทางภายในสหรัฐฯ ที่จะกลับมาให้บริการได้อีกครั้งจะมีขึ้นภายในเร็ววันนี้ โดยมีรายงานว่า หุ้นของสายการบิน American Airlines, United และ Delta ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2% ต่อแฟนหนึ่งคน
บรรดานักวิเคราะห์การลงทุน รวมถึง คีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาด จาก Truist ระบุว่า สถานการณ์โดยรวมของตลาดยังสามารถขยายตัวไปข้างหน้าได้ ดังนั้นนักลงทุนทั้งหลายจึงควรพิจารณาหาจุดอ่อนของตลาด และรับบทรุกลุยลงทุนให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีทุกตัวที่จะฟื้นคืน เพราะหุ้นของ Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐฯ ปรับตัวร่วงลง 3% นับเป็นการปรับตัวร่วงลงที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากความเห็นของ อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และผู้ก่อตั้ง Tesla ที่มีต่อบิตคอยน์
ทั้งนี้ ราคาของบิตคอยน์ร่วงหนักถึง 9% แทบจะในทันที่ อีลอน มัสก์ ทวีตข้อความระบุว่าทาง Tesla จะยุติการซื้อรถยนต์ด้วยเงินบิตคอยน์ เพราะกังวลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้พลังงานน้ำมันผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขุดเหรียญบิตคอยน์โดยเฉพาะ
รายงานระบุว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาของบิตคอยน์ปรับตัวลดลงทั้งหมดแล้ว 12% และทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีสูญเงินมากถึง 365,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาที่ร่วงแรงของบิตคอยน์นี้ โดนแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายงานข่าวที่ว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และกรมสรรพากรสหรัฐฯ กำลังดำเนินการสอบสวนบริษัท Binance แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฐานมีความเป็นไปได้ว่าจะพัวพันกับการฟอกเงินและการหลบเลี่ยงภาษี
ทั้งนี้ Chainalysis Inc. บริษัทนักสืบแห่งวงการบล็อกเชน และมีหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลายแห่งใช้บริการได้เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบธุรกรรมในปีที่แล้ว ทางบริษัทได้ข้อสรุปว่ามีเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมผิดกฎหมายไหลเข้าสู่ Binance มากกว่าแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ราคาบิตคอยน์ที่ร่วงแรงยังส่งผลต่อเหรียญอื่นๆ ในตลาดด้วย โดยมีรายงานว่าในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา Ethereum ปรับตัวลดลง 14% Dogecoin ลดลง 19% และ Shiba Inu ลดลง 40%
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: