เคยสงสัยไหมว่าทำไมโลกนี้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘โทนเนอร์’ ทั้งๆ ที่การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ก็น่าจะสะอาดแล้ว แต่ทำไมกูรูและผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณต่างบอกว่าการใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าจะตามมาด้วยประโยชน์ที่ดีต่อผิวของเรามากกว่าการไม่ใช้! ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างนั้น เพราะมีหลายคนที่ไม่รู้ว่าแม้เราจะล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจด แต่ทุกครั้งที่ล้างหน้า เราลืมไปว่าในคลีนเซอร์บางตัวที่เราชอบ อาจมีระดับความกรด-เบส หรือค่า pH ที่สูงเกินไป ทำให้การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผิวหน้าเสียสมดุลที่เหมาะสม โทนเนอร์จึงเป็นดั่งพระเอกขี่ม้าขาวที่เข้ามาช่วยจัดการกับปัญหานี้โดยเฉพาะ ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของโทนเนอร์คือการช่วยฟื้นฟูระดับ pH ที่เราสูญเสียไประหว่างการล้างหน้า และโทนเนอร์ในปัจจุบันก็มีการพัฒนาขีดความสามารถที่เสริมการดูแลผิวที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นการเลือกใช้โทนเนอร์หลังการล้างหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนที่รักและใส่ใจสุขภาพผิวอย่างแท้จริง
ประโยชน์ของโทนเนอร์ที่นอกจากจะฟื้นฟูระดับความสมดุลของค่า pH ของผิวหน้าแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ ดังนี้
- ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกจากสารเคมีในเครื่องสำอาง หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อาจยังตกค้างบนผิวหลังการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ทั่วไป
- ช่วยทำความสะอาดและป้องกันการอุดตันของรูขุมขนบนผิว
- ช่วยผลัดเซลล์ผิว และบางสูตรมีคุณสมบัติกระชับรูขุมขนบนใบหน้า
- ช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้
- ช่วยป้องกันความหมองคล้ำบนใบหน้า
- ในผู้ชาย สามารถใช้โทนเนอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหลังโกนหนวดได้
ต่อไปนี้คือโทนเนอร์สุดปังที่เราคัดมาแล้วว่าช่วยเช็ดผิวโทรมให้กลับมากระจ่างใสได้อีกครั้งดังนี้
1. Caudalie Vinoclean Moisturizing Toner (1,035 บาท)
เป็นโทนเนอร์ Organic Rose Water ที่สกัดได้จากกุหลาบที่ปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตตามวิถีออร์แกนิก เวลาใช้เช็ดผิวหน้าจะรู้สึกฟินกับกลิ่นหอม และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวผสม หรือผิวมัน ใช้ได้ทั้งบริเวณผิวหน้าและรอบดวงตาโดยไม่ระคายเคือง นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% ด้วย
2. Ole Henriksen Glow2OH™ Dark Spot Toner (1,100 บาท)
เป็นโทนเนอร์แบรนด์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้าไทย และมีจำหน่ายในร้าน Sephora จุดเด่นอันดีงามของโทนเนอร์ขวดนี้คือเน้นไปที่การจัดการปัญหาริ้วรอย จุดด่างดำ และช่วยให้ผิวหน้าเนียนเรียบ และค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น เวลาใช้จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเลมอน ที่ช่วยสร้างฟีลกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นมากทีเดียว
3. Fresh Rose Deep Hydration Facial Toner (1,760 บาท)
โทนเนอร์แบรนด์ Fresh เลื่องลือมานานเรื่องคุณภาพที่ไม่ทำให้ผิดหวัง ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ จึงอ่อนโยนและเหมาะกับทุกสภาพผิว นอกจากการช่วยทำความสะอาดหลังล้างหน้าอย่างหมดจดแล้ว ยังมีคุณสมบัติเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่ม เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องจะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้าง จะค่อยๆ กระชับขึ้น
4. Fenty Skin Fat Water Pore-Refining Toner Serum (1,050 บาท)
จะบอกว่าเป็นโทนเนอร์ที่ล้ำกว่าแบรนด์อื่นๆ ในเรื่องนวัตกรรมก็ว่าได้ เพราะโทนเนอร์ขวดนี้มาพร้อมคุณสมบัติ 2 in 1 ที่นำเอาจุดเด่นของเซรั่มมาผสมกับความปรับผิวของโทนเนอร์ ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ เวลาใช้ไม่ต้องใช้สำลี (ริฮานนาบอกว่าเป็นการช่วยลดขยะไปในตัว) เพียงเทลงบนฝ่ามือ แล้วกดเบาๆ ให้ซึมเข้าผิวหน้าได้เลย จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากส่วนผสมที่มาจากเชอร์รีและลูกฟิก นอกจากนี้หลายคนยังประทับใจกับผลลัพธ์การใช้ ที่ช่วยลดความมันบนผิวได้ทันที และเมื่อใช้ต่อเนื่องไปสักระยะจะรู้สึกได้เลยว่าจุดด่างดำค่อยๆ ลดลง และผิวดูสม่ำเสมอเรียบเนียนขึ้น
5. Herbivore Botanicals Jasmine Green Tea Balancing Toner (1,495 บาท)
ใครมีหัวใจรักความเป็นธรรมชาติจะต้องชอบโทนเนอร์ขวดนี้ของ Herbivore Botanicals เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจาก Green Tea และ Jasmine Flower Wate เหมาะสำหรับผิวผสม ผิวมัน และผิวที่มีปัญหาสิว ช่วยปรับสมดุลผิวมัน และผิวที่มีปัญหาสิวด้วย Green Tea, Witch Hazel, และ Aloe Vera 100% Vegan ใช้ส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ และไม่ทดลองผลิตภัณฑ์นี้กับสัตว์ ปราศจากซิลิโคน น้ำหอม กลูเตน รูปแบบการใช้สเปรย์โทนเนอร์ เพียงฉีดลงบนผิวที่ล้างหน้าสะอาด จะช่วยให้ผิวหน้าสดชื่น ดูชุ่มชื้น นุ่มเนียน ช่วยปลอบประโลมผิว ปรับสมดุลผิว เพื่อผิวสวยสุขภาพดีตลอดทั้งวัน
ภาพ: Courtesy of Brands
