กูรูชวนลงทุนกองทุนหุ้นธีม ‘เฮลท์แคร์-เฮลท์เทค’ ครึ่งปีหลัง ดักอานิสงส์ ‘ไบเดน’ คืนชีพโอบามาแคร์ แนะลงทุนระยะกลางถึงยาว ส่วนระยะสั้นจะผันผวนจากแรงกดดันบอนด์ยีลด์
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง กล่าวว่า อีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจคือธีมเฮลท์แคร์และเฮลท์เทค เนื่องจากทั่วโลกในช่วง Post-COVID-19 จะหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อสุขภาพ และลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นเทรนด์ที่ดีสำหรับกองทุนหุ้นธีมเฮลท์แคร์ รวมถึงเฮลท์เทคต่างๆ
นอกจากนี้ ธีมเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเร่งดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของโจ ไบเดน หลังจากที่เดินหน้านโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วเรียบร้อย
ทั้งนี้ ไบเดนปราศรัยตลอดการหาเสียงของเขาในเรื่องของการฟื้นนโยบายด้านสุขภาพและสาธารณสุข ตามที่อดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา เคยดำเนินการเอาไว้ และหากประเมินจากการดำเนินนโยบายตามที่เคยประกาศไว้ช่วงหาเสียงมาตลอด ก็เชื่อว่าไบเดนจะนำนโยบายยกระดับสาธารณสุขมาใช้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้เทรนด์ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพค่อนข้างเป็นที่นิยม จึงมีบริษัทเกิดใหม่ใน Ecosystem นี้จำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดจากความตื่นตัวในโรคอุบัติใหม่ต่างๆ และวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี ฉะนั้น ในการเลือกเข้าลงทุนในกองทุนหรือ ETF ธีมนี้ ควรรู้จักบริษัทนั้นๆ ว่า
- ทำธุรกิจอะไร รวมไปถึง Ecosystem มีมูลค่ามากน้อยเพียงใด
- ผลประกอบการที่ผ่านมามีกำไรแล้วหรือยัง
- ควรเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อให้สามารถมองเห็นการเติบโตและการปรับตัวรับมือความเสี่ยงในอดีต
ทั้งนี้ ในการลงทุนกองทุนหุ้นในธีมเฮลท์แคร์และเฮลท์เทค เหมาะเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาว เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้ส่วนมากอยู่ในช่วงเติบโตสูง ตามแนวโน้มภาคธุรกิจและการบริโภคที่หันมาใส่ใจด้านสุขภาพกันสูงขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ถูกจัดประเภทเป็น Growth Stock ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น ราคาหุ้นกลุ่มนี้จึงมีความผันผวนสูงมาก หากลงทุนในระยะเวลาสั้นๆ อาจทำให้ยังไม่ได้กำไรนัก
โดยแนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก และเข้าใจการลงทุนในต่างประเทศเป็นอย่างดี เข้าลงทุนใน ETF กลุ่มเฮลค์แคร์และเฮลท์เทค คือ ETF XLV (Health Care Select Sector SPDR Fund) ซึ่งเป็น ETF ที่กระจายการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพ เช่น เภสัชกรรม อุปกรณ์และวัสดุเพื่อการดูแลสุขภาพ บริการด้านการดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ เครื่องมือและบริการด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพ มูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ผลตอบแทนจากต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) อยู่ที่ +3%
ETF VT (Vanguard Total World Stock Index Fund ETF) ซึ่งเป็น ETF ที่กระจายการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพในตลาดเกิดใหม่ มูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ผลตอบแทน YTD อยู่ที่ 2.2%
และ ETF CHIH (The Global X MSCI China Health Care ETF) ที่เน้นลงทุนโดยตรงในธุรกิจเกี่ยวเนื่องสุขภาพในประเทศจีน มูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ผลตอบแทน YTD อยู่ที่ +6.66%
ในส่วนของกองทุน BCAP-CTECH (กองทุนเปิดบีแคป ไชน่า เทคโนโลยี) ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งส่วนมากจะมีธุรกิจเทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ รวมถึงธุรกิจประกันชีวิตต่างๆ เป็นขาหนึ่งของรายได้
สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะเฮลท์เทค เนื่องจากผู้คนเริ่มมีการตระหนักรู้เกี่ยวกับการลงทุนด้านสุขภาพ เทรนด์การรักษาสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นจากเทคโนโลยีชั้นสูง และเทรนด์รักสุขภาพ จึงเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องการป้องกันการเจ็บป่วยต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้ต้องระมัดระวังความผันผวนของราคา เนื่องจากนักลงทุนมีความคาดหวังต่อการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้สูงมาก ทำให้ราคาหลักทรัพย์ หรือราคากองทุนในกลุ่มนี้ปรับเพิ่มขึ้นสูงไปด้วย
“การที่กลุ่มนี้จัดเป็น Growth Stock ทำให้ต้องรับความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาไปด้วย เพราะกลุ่ม Growth Stock จะได้รับแรงกดดันโดยตรงจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ซึ่งประเมินว่าทิศทางบอนด์ยีลด์จะเป็นช่วงขาขึ้นอีกสักระยะ แม้จะไม่ปรับขึ้นสูงมาก แต่ก็ส่งแรงกดดันไปยังหุ้นกลุ่ม Growth Stock ให้เคลื่อนไหวอย่างผันผวน”
ทั้งนี้ ราคากองทุนเฮลท์แคร์ในปัจจุบันที่ปรับลดลงมาราว 20% สะท้อนแรงกดดันจากบอนด์ยีลด์ได้เป็นอย่างดี และก็เป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนในกลุ่มนี้อีกครั้ง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล