×

UrboyTJ การประกอบสร้างตัวตนของคนที่อยาก ‘หลับตา’ ในอัลบั้ม Selfmade

26.03.2021
  • LOADING...
UrboyTJ การประกอบสร้างตัวตนของคนที่อยาก ‘หลับตา’ ในอัลบั้ม Selfmade

HIGHLIGHTS

12 mins. read
  • UrboyTJ เคยถูกบูลลี่ตอนเด็ก รู้สึกว่าโรงเรียนไม่ใช่เซฟโซนของเขา และเริ่มค้นพบเซฟใหม่คือการกลับบ้านมาฟังเพลงคนเดียว และเริ่มต้นทำเพลงตั้งแต่อายุ 14 ปี
  • หลังประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะสมาชิกวง 3.2.1 เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าขึ้นในช่วงตัดสินใจไม่ทำวงต่อ และเริ่มโปรเจกต์ศิลปินเดี่ยวที่มีเพลง เค้าก่อน และ วายร้าย ที่ทำให้เขาพร้อมเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ชื่อ UrboyTJ 
  • UrboyTJ เริ่มรู้สึกหลงทางและค้นหาตัวเองไม่เจอในช่วงหนึ่ง จนต้องประกอบสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ผ่านดีเอ็นเอความเป็นกามิกาเซ่ จนกลายเป็นอัลบั้มที่ชื่อ Selfmade 
  • การป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้ UrboyTJ รู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว และหยิบมาเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลงอัลบั้มมากที่สุด โดยเฉพาะเพลง สักวัน และ หลับตา ที่บ่งบอกความคิดของเขา ณ เวลานี้ได้ดีที่สุด

สิ่งที่หลายคนมองเห็นจากภาพลักษณ์ที่แสดงออกและความสำเร็จในฐานะศิลปิน จิรายุทธ ผโลประการ หรือ UrboyTJ คือศิลปินที่น่ารัก มีเสน่ห์ มีความสามารถ เจ้าของเพลงฮิตจำนวนมากที่มียอดวิวรวมกันมากกว่า 500 ล้านวิว 

 

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปผ่านท่าเต้นกวนๆ บนเวทีที่หลายคนหลงรัก ผ่านรอยยิ้มที่มอบให้ผู้คนอยู่เสมอ เราจะเห็นแววตาจริงจังที่เขาซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ภายใต้แว่นตาสีดำประจำตัวอยู่เสมอ 

 

เขาเคยผ่านการถูกบูลลี่ในชีวิตวัยเด็ก เคยต่อสู้ในฐานะศิลปินฝึกหัด เป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินค่ายกามิกาเซ่ เติบโตขึ้นมาซูเปอร์สตาร์แห่งวงการฮิปฮอป ไปพร้อมๆ กับเรื่องราวมากมายที่ทำให้เขาสูญเสีย ‘ตัวตน’ จนตกอยู่ในภาวะของโรคซึมเศร้า 

 

เขาค่อยๆ รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเริ่มประกอบสร้างตัวตนที่เคยหล่นหาย จนออกมาเป็น Selfmade อัลบั้มเต็มแรกในชีวิตการเป็นศิลปินเดี่ยว 

 

เป็น 12 เพลง ที่มีทั้งท่วงทำนองอ่อนหวาน สนุกสนานชวนครึกครื้น แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ที่เขาต้องต่อสู้ ตั้งคำถาม และเยียวยาหัวใจตัวเองให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ในใจลึกๆ แล้วเขามีความคิดที่ว่า

 

“แค่อยากนอนหลับตาไม่ต้องตื่น ไม่อยากทำเป็นฝืนว่าแข็งแรง” 

 

อยู่ก็ตาม 

 

 

ก่อนมาเป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้ ทีเจในวัยเด็กเคยมีความฝันอะไรมาก่อนบ้าง 

ตอนประถมผมอยากเป็นหมอกับโปรแกรมเมอร์ เพราะสนใจเรื่องเทคโนโลยี อยากประกอบคอมพิวเตอร์ แล้วก็มั่นใจในการเรียนของตัวเองพอสมควร ผมแทบจะเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบทำการบ้าน ทุกคนต้องมาลอก หรือเวลามีจับกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ ทุกคนจะพุ่งมาหาผม 

 

แต่พอศึกษาว่าเรียนหมอต้องผ่านอะไรบ้าง ปีสามเริ่มผ่ากบ เริ่มผ่าคนจริงๆ คิดว่าไม่น่าใช่ทางของเรา (หัวเราะ) ส่วนโปรแกรมเมอร์ยังสนใจอยู่ แต่ว่ามีความคิดว่าอยากเป็นศิลปินเข้ามาก่อน

 

ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตด้วยการจับโฟกัสอะไรสักอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรให้โฟกัสเลยนอกจากการเรียน เพื่อนก็ไม่ค่อยมี ส่วนมากจะสนิทกับอาจารย์มากกว่า เลยรู้สึกว่าการเรียนเป็นเซฟโซนที่เราพอใจจะทำ 

 

“พอเครียดจากการโดนบูลลี่ กลับมาบ้านจะมีคอมพิวเตอร์หนึ่งตัวกับลำโพงเซ็ตหนึ่ง ผมกลับบ้านมาเปิดเพลงดังๆ เต้นมั่วๆ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางสายดนตรี เพราะการเรียนไม่ใช่เซฟโซนของเราอีกต่อไป”

 

รู้สึกว่าการเรียนไม่ใช่เซฟโซนตั้งแต่เมื่อไร

เริ่มโดนบูลลี่ตอนอายุ 13-14 ปี เพราะเด็กเรียนเก่งจะโดดออกมาจากคนอื่น แล้วผมเป็นคนเชียงรายที่ต้องย้ายไปอยู่กับแม่ที่จังหวัดเลย ด้วยรูปร่าง หน้าตา สีผิวแตกต่างจากคนอื่น พูดภาษาเขาไม่ได้เลยโดนแกล้งบ่อยๆ 

 

เราไม่สามารถมีกิจกรรมกับเพื่อนได้ เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปตกปลา ยกพวกตีกันก็ไม่สนุก คืนหนึ่งนัดรวมตัวกับแก๊งเพื่อน แก๊งรุ่นพี่ ปิดไฟมืดๆ เล่าเรื่องผี แล้วรู้สึกว่าจิตใจผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเรา หลังจากนั้นรู้สึกว่าต้องหาทางออกให้ตัวเอง ควรหาที่ระบายที่เราพอใจกับมัน 

 

จำได้ว่าพอเครียดจากการโดนบูลลี่ กลับมาบ้านจะมีคอมพิวเตอร์หนึ่งตัวกับลำโพงเซตหนึ่ง ผมเริ่มฟังเพลง ดูคอนเสิร์ตของเรน กับ Usher แล้วอยากเต้น ก็เปิดเพลงดังๆ เต้นมั่วๆ ที่บ้านเลย เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางสายดนตรี เพราะการเรียนไม่ใช่เซฟโซนของเราอีกต่อไป 

 

แล้วค่อยๆ เริ่มทำเพลงตั้งแต่ตอนนั้น แต่เอาไปคุยกับใครไม่ได้เลยนะ เพราะไม่มีใครฟังเพลงแบบที่เราฟัง ยิ่งแปลกแยกเข้าไปอีก ผมต้องสร้างตัวตนขึ้นมาอีกอันหนึ่งเพื่อไปพูดคุยระบายความรู้สึกต่างๆ ในโลกโซเชียล โดยที่คนเข้ามาอ่าน มาตอบไม่ต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ทั้ง Hi5, MySpace และเว็บบอร์ด Siamhiphop ในยุคนั้น 

 

“ผมเลือกคำว่าดนตรีมาก่อน ไม่ได้สนว่าต้องเป็นอันเดอร์กราวด์ จะต้องดาร์กตลอดไป แค่รู้สึกว่าที่ไหนมีคำว่าดนตรี ผมมีความสุขที่นั่น”

 

เริ่มเอาเพลงที่ทำไปให้คนอื่นฟังตั้งแต่ตอนไหน

อายุประมาณ 15 ปี เริ่มทำมิกซ์เทปได้ 5 เพลง ออกเป็นอีพีแรก คนที่ได้ฟังคนแรกคืออาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ผมสนิทมาก อย่างที่บอกว่าผมมีเพื่อนคืออาจารย์ เขาคอยสนับสนุนและพาผมออกไปจากความรู้สึกแย่ๆ เป็นเซฟโซนหนึ่งของผม คิดว่าไม่ผิดถ้าส่งเพลงให้เขาฟัง แต่ที่ผิดคือเป็นเพลงอันเดอร์กราวด์เท่านั้นเอง (หัวเราะ)

 

มันจะเดือดๆ หยาบๆ พูดเรื่องแก๊งสเตอร์ ปล้นแบงก์ ใช้ชีวิตแบบไฮโซอยู่บนเรือยอชต์แบบที่ผมได้อิทธิพลมาจากเพลงเมืองนอกที่ฟัง อาจารย์ไม่เก็ตนะ แต่รู้สึกว่าสำคัญมาก ทำให้ผมมั่นใจว่าน่าจะไปได้ เพราะถ้าไม่มีอาจารย์ผมไม่รู้จะส่งให้ใครฟังแล้ว 

 

หลังจากนั้นอัปโหลดเพลงใน Hi5 กับ Siamhiphop อยากเห็นฟีดแบ็กว่าคนรู้สึกยังไง ซึ่งค่อนข้างโพสิทิฟ มีคนให้กำลังใจว่าน่าสนใจ น่าจะทำได้นะ แล้วก็เริ่มรู้จักเพื่อนๆ ในเว็บบอร์ด ได้คุยกับโต้ง Twopee ด้วย ตอนนั้นเป็นศิลปินอันเดอร์กราวด์ใช้ชื่อ Southside คุยเรื่องการทำเพลงกันผ่าน MSN

 

ช่วงนั้นผมตัดสินใจนั่งรถมากรุงเทพฯ คนเดียวเพื่อไปงาน Fat Festival 7 เห็นวง Thaitanium เล่นคอนเสิร์ตแล้วคนเยอะมาก ร้องเพลงฮิปฮอปกันได้แบบขนลุก รู้สึกจุดไฟให้เราว่าทำเล่นๆ ไม่ได้แล้ว ต้องจริงจัง 

 

โชคดีที่ตอนนั้นมีคนจากค่าย RS เห็นเพลงผมใน Hi5 แล้วติดต่อมาว่าเขาอยากทำโปรเจกต์ฮิปฮอป สนใจไปออดิชันไหม ด้วยความที่เราลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมาเยอะ ถ้ามีโอกาสเป็นศิลปินค่ายใหญ่ๆ สักค่ายหนึ่งเราก็ยินดีที่จะไป 

 

 

ในยุคนั้นศิลปินอันเดอร์กราวด์น่าจะมีความรู้สึกไม่ชอบค่ายใหญ่อย่าง RS หรือแกรมมี่หรือเปล่า

ผมเลือกคำว่าดนตรีมาก่อน ไม่ได้สนว่าต้องเป็นอันเดอร์กราวด์ จะต้องดาร์กตลอดไป แค่รู้สึกว่าที่ไหนมีคำว่าดนตรี ผมมีความสุขที่นั่น เลยเลือกไปออดิชันทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าเขาจะให้ผมออกมาเป็นแบบไหน แค่เอาสิ่งที่เราเป็นไปเสนอให้ดูก่อน 

 

ซึ่งสิ่งที่เอาไปให้เขาดูในวันนั้นก็คือ 

เอาเพลงพวกนี้ไปร้องให้เขาฟัง (หัวเราะ) มีโปรดิวเซอร์ล้านตลับที่ทำเพลงให้ D2B, JR-VOY, เจมส์ เรืองศักดิ์, ดัง พันกร แต่ผมไม่ตื่นเต้นเพราะยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร แล้วแรปไปตามเพลงที่ทำมา เขาก็ทำหน้างงๆ กันนิดหนึ่ง เหมือนได้เจออะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน บอกว่าจะโทรติดต่อกลับมา ซึ่งคิดแล้วว่าไม่น่ารอด เพราะสุดโต่งในทางของเราเลย คิดว่าให้เวลาสามวันจะกลับต่างจังหวัด แล้วเขาโทรมาในวันสุดท้ายพอดี 

 

ถ้าเขาไม่ติดต่อกลับมา คิดว่าชีวิตของเราตอนนั้นจะเป็นยังไง

ผมจะกลับไปทำใหม่ ถ้าไม่ได้ที่ RS ก็ไปที่อื่น เพราะมั่นใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด 

 

 

“ผมเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จริงๆ มันส่อแววมาตั้งแต่เพลงแน่นอกของวง 3.2.1. ออกมา แล้วประสบความสำเร็จมาก แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้สึกไม่โอเค”

 

ชีวิตของศิลปินอันเดอร์กราวด์ที่เข้าไปอยู่ค่ายใหญ่เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

เปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนอยู่คนเดียวทำเพลงแบบไร้จุดหมาย อยากเขียนอะไรก็เขียน พอเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดทุกอย่างต้องเป็นกระบวนการทั้งหมด ไม่ใช่ทำเพลงอะไรออกไปก็ได้ มีโปรดิวเซอร์เก่งๆ หลายคนอยู่เบื้องหลังแล้วคอยสอนตลอดว่า Music Business คืออะไร คนอยากฟังอะไร และเพลงที่เราทำคืออะไร 

 

เขาค่อยๆ เพิ่มข้อมูล เตรียมความพร้อมให้เรา ให้ไปเขียนเพลงให้หวาย ให้วง K-OTIC ร้องเพลงไกด์ให้คนนู้นคนนี้ เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนได้เดบิวต์เป็นศิลปินจริงๆ ในฐานะวง 3.2.1. และได้ช่วยโปรดิวซ์ ทำให้เข้าใจทุกอย่างว่า ช่วง 3 ปีที่ไม่ได้มีผลงานอะไร สุดท้ายมามีผลตอนนี้นี่เอง 

 

แต่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านเรื่องอะไรมาเยอะกว่าวง 3.2.1. จะประสบความสำเร็จ เพราะต่างคนต่างมายด์เซ็ต มีความต้องการคนละแบบ จำได้ว่ามีประชุมทีมงานครั้งหนึ่ง ผมบอกว่าไม่อยากทำวงนี้ ขอออกแล้วกันแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปเลย จนพี่โฟร์ (ประทีป สิริอิสสระนันท์ มือกีตาร์วง 25hours) ที่เป็นโปรดิวเซอร์เดินตามผมมา ขอให้ลองดูก่อนไม่เสียหาย ถ้าไม่ได้ เราก็ได้ลองจนรู้ว่าไม่ได้ แล้วเพลงแรกที่ออกมาคือเพลง เขย่า ก็แป้กจริงๆ 

 

ความรู้สึกตอนนั้นเฟลหนักเลย เพราะต้องย้อนไปว่าเราเป็นศิลปินฝึกหัดตั้งแต่อายุ 15 ปี กว่าจะได้เดบิวต์ก็อายุ 18 ปี มันนานนะที่เด็กคนหนึ่งเก็บความรู้สึก สะสมพลังงานทุกอย่าง พอปล่อยเพลงแรกแล้วแป้กทุกอย่างมันดาวน์หนักมากๆ ต้องมาคุยกันอีกรอบว่าเลิกทำดีกว่า

 

แล้วก็เป็นพี่โฟร์ที่บอกว่าขอรอดูเพลง แค่ที่รัก ก่อน เขามั่นใจว่าเพลงนี้จะมา ซึ่งใจผมไม่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเพลงมันก็ประสบความสำเร็จจริงๆ จำได้เลยว่าไปเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกทุกคนร้องท่อนฮุกได้เสียงดังมากๆ ทั้งที่เพลงเพิ่งปล่อยได้อาทิตย์เดียวเอง จากที่เฟลอยู่กลายเป็นมั่นใจว่าเราไปต่อได้ ทุกคนในวงก็มั่นใจว่ามีทางไปของมัน 

 

 

หลังจากนั้นคุณก็เข้าสู่ช่วงที่คุณเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ชื่อ UrboyTJ

ช่วงนั้นมีความรู้สึกเกิดขึ้นหลายอย่าง คือผมเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จริงๆ มันส่อแววมาตั้งแต่เพลง แน่นอก ของวง 3.2.1. ออกมา แล้วประสบความสำเร็จมาก แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้สึกไม่โอเค จนมาถึงช่วงที่กำลังจะหมดสัญญาจาก RS แล้วพวกเราตัดสินใจว่าจะไม่ทำวงต่อ 

 

ช่วงนั้นผมรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองดาวน์มาก เหมือนคนผิดหวังอะไรใหญ่ๆ เคยมีวง ทำเพลง แฮปปี้ มีความสุข อยู่ๆ ถูกตัดทิ้งไป เคว้งคว้าง อนาคตจะไปยังไงต่อ เพราะไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นศิลปินเดี่ยวได้หรือเปล่า 

 

แต่ระหว่างยังเก็บตัวทำเพลงอยู่ในห้องอยู่ตลอด รวมทั้งเพลง เค้าก่อน ที่ผมแต่งเพื่อเป็นของวง 3.2.1. แต่ไม่ได้ใช้กลับมาแก้เนื้อ ทำดนตรีใหม่ ให้เข้ากับการเป็นตัวเราในฐานะศิลปินเดี่ยวที่สุด ถ่ายวิดีโออยู่หลังบ้าน อัปโหลดลง YouTube แบบไม่ได้คาดหวังอะไรเหมือนตอนปล่อยเพลงลงเว็บบอร์ดก่อนหน้านี้ เราแฮปปี้แล้วที่ได้ทดลองว่าถ้าเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วจะเป็นยังไง

 

ซึ่งดูทรงก็เหมือนจะไม่เวิร์ก (หัวเราะ) เกือบเลิกล้มไปแล้วเพราะคนไม่พูดถึง แล้วอยู่ๆ เกิดไวรัลอะไรสักอย่างแล้วยอดวิวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ประหลาดสุดคือมีคนติดต่อจ้างไปเล่นคอนเสิร์ตที่มหาสารคาม เราก็ตอบรับไปเลยทั้งที่เพิ่งมีแค่เพลงเดียว

 

มีคนมาจองโต๊ะตั้งแต่สี่โมงเย็น พอถึงเวลาเล่นคนเต็มร้านประมาณพันคน ทุกคนรอคอยอยากร้องเพลงเรามากๆ จำได้ว่าเล่นเพลง เค้าก่อน หลายรอบมาก ทั้งตอนเปิด ตอนกลาง ตอนปิด ที่เหลือขอยืมเพลง Thaitanium มาเล่น (หัวเราะ) 

 

ความรู้สึกวันนั้นเหมือนปลดล็อก มั่นใจว่าเราต้องทำเพลงต่อ จนมาถึงเพลง วายร้าย ที่ผมมั่นใจว่าต้องแมสและดังที่สุดของเรา จากเซนส์ที่ได้ตอนอยู่ RS ปรากฏว่าผลเป็นไปตามที่คาด ยอดวิวขึ้นวันละล้านไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นตัวแสตมป์แอพพรูฟแล้วว่ามึงต่อไปได้เลย นั่นคือการที่ UrboyTJ ประกาศว่าเป็นศิลปินเดี่ยวครั้งแรก 

 

“Selfmade เป็นอัลบั้มที่ผมได้เขียนระบายความรู้สึกต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าเรารู้สึกอย่างไร ผ่านอะไรมา เติบโตขึ้นมาอย่างไรบ้าง”

 

หลังจากนั้นการทำเพลง ยังเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุก และเป็นเซฟโซนของทีเจมาตลอดอยู่ไหม

ใช่ครับ สนุกอยู่เสมอ จะมีแค่บางช่วงที่ตันกับหลงทางไปบ้างคือตอนทำอีพีเพลงร็อกที่ชื่อ The Loser ตอนนั้นผมอินเพลงร็อกมาก อยากรู้ว่าถ้าไปแนวนี้จะรอดไหม สุดท้ายได้คำตอบว่าไม่เวิร์ก เหมือนหนีความเป็นตัวเองไปเยอะ เพราะดีเอ็นเอในการทำเพลงของเราคือกามิกาเซ่ ผมถึงต้องมีอัลบั้ม Selfmade ขึ้นมา เพื่อดึงทุกอย่างกลับมาว่าตัวตนของเราจริงๆ คืออะไร 

 

นอกจากนำเสนอตัวตนออกมา อัลบั้มนี้เหมือนการติ๊กหนึ่งในเป้าหมายที่มีอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต คือการมีอัลบั้มเต็มของตัวเองที่สำเร็จไปแล้ว อีกอย่างคืออัลบั้มนี้เป็นไดอะรีที่ผมได้เขียนระบายความรู้สึกต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าเรารู้สึกอย่างไร ผ่านอะไรมา เติบโตขึ้นมาอย่างไรบ้าง 

 

 

“ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเซนสิทีฟกับโซเชียลมีเดียมากๆ ทั้งที่งานของเราขึ้นอยู่กับโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่ผมกลับกลัวมากกว่า”

 

ถ้าอัลบั้มนี้เป็นไดอะรี เพลงเดือดๆ อย่าง ซุปเปอร์ไซย่า บันทึกเหตุการณ์ไหนของชีวิตเอาไว้ 

ตอนแรกเพลงนี้ชื่อว่า เตะหน้ามึง (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่ากระโดดเกินไป เอามาเรียงกับเพลงอื่นๆ ไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็น ซุปเปอร์ไซย่า บอกว่าผมมีอีกร่างหนึ่งเกิดขึ้นมาเวลาเดือดๆ รู้สึกโมโหกับอะไรบางอย่างในชีวิต ไม่ได้เป็นคนซอฟต์ๆ ไปตลอด เหมือนเขียนไดอะรีหนึ่งวันหนึ่งว่า กูไม่ไหวแล้วเว้ย กูเบื่อคนนั้น เกลียดคนนี้ ไม่ไหว อยากระเบิดความรู้สึกออกมา ซุปเปอร์ไซย่า คือร่างนั้นของเรา 

 

 

ตามปกติทีเจเป็นคนที่สามารถแสดงความรู้สึกไม่พอใจกับผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ออกมาได้มากน้อยขนาดไหน 

กับคนรอบตัวได้พอสมควร ผมเคยระเบิดอารมณ์ออกมาจนคนรอบตัวอยู่ไม่ไหว จนผมต้องไปปรึกษาหมอ แต่กับคนภายนอกผมต้องเก็บทุกอย่างไว้หมดเลย ไม่สามารถระเบิดกับใครได้ เพราะสปอตไลต์ที่ส่องลงมาตอนนี้ ทุกคนเห็นหมดว่าเราทำอะไร เลยต้องทำตัวเองให้อยู่ในร่องในรอยมากที่สุด ไม่สามารถบ้าบอคอแตกได้ แต่เคยมีหลุดบ้างช่วงระหว่างหมดสัญญากับ RS ก่อนมาเป็น UrboyTJ ที่เป็นไบโพลาร์จัดๆ ต้องไปหาหมอ ตอนนี้ควบคุมมันได้แล้ว 

 

ผมเป็นคนเอาแต่ใจมากๆ อยากได้อะไรต้องได้ทันที แล้วชีวิตบนโลกความจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นว่าพอไม่ได้อะไรปุ๊บ เราระบิดทันที เป็นข้อเสียมากๆ สำหรับการทำงานร่วมกับคนอื่น 

 

อีกอย่างคือ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเซนสิทิฟกับโซเชียลมีเดียมากๆ ทั้งที่งานของเราขึ้นอยู่กับโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่ผมกลับกลัวมากกว่า อย่างที่คนบอกว่ามันเป็นดาบสองคม เวลาได้รับด้านดีเราชื่นชมมันนะ แต่พอเจอด้านร้าย แค่ปลายอีกคมหนึ่งมาบาดนิดเดียว เรารู้สึกว่ามันเจ็บกว่าเยอะเลย 

 

สมมติด้านดีคือด้านนุ่มๆ เป็นโฟมที่มาโดนแล้วอบอุ่น แต่พอด้านคมมาบาดเลือดออก กลายเป็นแผลที่คิดอยู่กับเราไปนานมากๆ แล้วผมเป็นคนคิดมาก เอาออกไปไม่ได้ รักษาไม่ทัน เลยทำให้เรารู้สึกกลัวโซเชียลมีเดีย พอแสดงออกไม่ได้เราต้องเก็บเอาไว้ข้างใน แล้วความรู้สึกแบบนี้ยิ่งเก็บยิ่งหนักมาก 

 

 

“วันหนึ่งเราคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าเกิดไม่มีวันพรุ่งนี้มันอาจดีกว่านี้ จะได้หยุดคิดไปเลยว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ต้องดีลกับปัญหาต่างๆ ยังไง”

 

เก็บความรู้สึกไว้จนถึงจุดไหนที่รู้สึกว่าต้องไปปรึกษาหมอแล้ว 

จุดที่วันหนึ่งเราคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าเกิดไม่มีวันพรุ่งนี้มันอาจดีกว่านี้ จะได้หยุดคิดไปเลยว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ต้องดีลกับปัญหาต่างๆ ยังไง โชคดีมีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจิตวิทยา เขาเห็นผมโพสต์โซเชียลมีเดีย เห็นสัญญาณต่างๆ แล้วเรียกผมไปคุยทันที แล้วแนะนำให้ผมไปหาหมอ 

 

ตอนแรกผมยังไม่เชื่อนะ หมอจะรักษาความคิดในสมองเราได้ยังไง ต้องเริ่มรักษาจากตัวเองสิ แต่สุดท้ายอาการไม่ดีขึ้นเลยตัดสินลองไปดู พอไปถึงอธิบายให้ฟังว่ารู้สึกอย่างไร ผมจำไม่ได้ว่าอาการอยู่ขั้นไหน แต่หมอให้ยามากินกลายอย่างมาก เกือบสิบเม็ด

 

หลังจากนั้นใช้ชีวิต กินยา ลองทำตามที่เขาบอก ผ่านไปสองอาทิตย์เริ่มดีขึ้น ออกไปไหนมาไหน คุยกับเพื่อน ใช้ชีวิตตามปกติได้ รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาให้มารักษาได้จริง ไปรับการรักษา ปรับยามาตลอด เริ่มรู้สึกว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ต้องได้รับการรักษา ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรเลย 

 

 

เคยสัมภาษณ์ศิลปินบางคนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะมีอาการคล้ายกันอย่างหนึ่งคือชอบความรู้สึกเวลาเศร้า เพราะความเจ็บปวด เปราะบาง มีพลังในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ ทีเจเคยมีความรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า

มีแล้วก็สร้างมันออกมาแล้วด้วยคือเพลง รังเกียจกันไหม เป็นช่วงซึมเศร้าแล้วคิดว่าโลกทั้งใบแม่งเกลียดกูหรือเปล่าวะ จากคอมเมนต์ต่างๆ ที่เหมือนเราทำอะไรไม่เคยถูกสักอย่างเลย เลยเอาตรงนั้นมาเขียนเพลง ตอนนั้นผมร้องครั้งเดียวนะ เรกคอร์ดเป็นเดโมเก็บไว้ 

 

พอจะเอามาทำมาสเตอร์ให้คุณภาพดีขึ้น กลายเป็นว่าผมร้องแล้วไม่เหมือนเดิม เพราะตอนนั้นคือความรู้สึกแรกที่รู้สึกจริงๆ เราทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เลยตัดสินใจเอาเวอร์ชันเดโมมาทำมาสเตอร์ เพราะความรู้สึกตอนนั้นเรียลที่สุด เป็นเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งที่ผมเคยเขียนขึ้นมาเลย 

 

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมศิลปินต่างๆ เลือกจมอยู่กับซึมเศร้า เพราะมันช่วยความคิดสร้างสรรค์ที่มี แต่เราไม่ควรมีตลอดไป มันไม่ใช่พรสวรรค์นะ มันคืออาการป่วยที่เราใช้ประโยชน์ได้ แต่ต้องรักษาให้มันหาย เพราะเห็นตัวอย่างอยู่แล้วว่าศิลปินระดับโลกหลายคนเป็นซึมเศร้าแล้วแต่งเพลงออกมาดีมาก กลายเป็นเพลงประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายมีจุดจบคือการเสียชีวิต โรคซึมเศร้าคือทางหนึ่งที่นำไปสู่ทางนั้น ถ้าไม่กั้นไปก่อน เรามีสิทธิ์ไปทางนั้นแน่นอน

 

 

 

“การใช้ หลับตา เป็นเพลงปิดท้าย คือการย้ำว่า ที่ทำมาทั้งหมดคือการแสดงให้เห็นว่าเราก็อยากแข็งแรงนะ เพราะสุดท้ายข้างในเราเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

 

มีเพลงไหนในอัลบั้ม Selfmade ที่ทีเจยังใช้มวลของความเศร้ามาทำเพลงอีกบ้าง

เพลง หลับตา คือเพลงที่ดีปที่สุดที่เขียนออกมา รังเกียจกันไหม ยังมองได้สองมุมว่าด้วยพื้นฐานเรื่องความรัก แต่ หลับตา คือการพูดถึงความรู้สึกจริงๆ แบบ 100% เฮ้ย มีวันหนึ่งที่กูรู้สึกไม่ไหวแล้ว อยากนอนแล้วไม่ต้องตื่น ให้มันจบๆ ไปเลย 

 

แล้วคุณก็เลือกใช้เพลงนี้เป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้ม Selfmade

มันเป็นการ Wrap up อัลบั้มนี้ และสามารถนำเสนอตัวตนของผมได้ดีที่สุดว่าทุกวันนี้เรายังรู้สึกอย่างนั้นอยู่นะ ถ้าดูปกอัลบั้มจะเห็นหน้าผมที่ไม่รู้หรอกว่าข้างในคิดอะไรอยู่ แต่ทุกครั้งที่ออกไปแสดงให้คนดูหรืออยู่ต่อหน้าใครก็แล้วแต่ เราต้องมีรอยยิ้มออกมา ซึ่งภายใต้รอยยิ้มนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าบางคืนเรารู้สึกว่าไม่อยากตื่นไปยิ้มอีกแล้ว 

 

การใช้ หลับตา เป็นเพลงปิดท้าย คือการย้ำว่าที่ทำมาทั้งหมดคือการแสดงให้เห็นว่าเราก็อยากแข็งแรงนะ เพราะสุดท้ายข้างในเราเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นเอง 

 

 

“ถ้าลองฟังดีๆ ตีความเข้าไปลึกๆ คุณจะเห็นว่าผู้ชายคนนี้แม่งฝืนทำอะไรหลายๆ อย่างมาเยอะมาก จนมันเหนื่อยมากๆ แล้ว”

 

ถ้ามองภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่เพลง หลับตา ที่พูดถึงความตาย แต่มีอีกหลายเพลงที่ทีเจพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกัน 

ผมรู้สึกว่าเมื่อเป็นโรคซึมเศร้าปุ๊บ ความตายกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ผมเลยหยิบมาเขียนมากที่สุดเพราะมันคือฟีลลิ่งจริงๆ ของเรา ณ ตอนนี้ เหมือนอย่างเพลง สักวัน ที่บอกว่าไม่อยากให้คนข้างหลังเสียใจว่าถ้าวันหนึ่งเราตายจากไป 

 

ถ้ามองเพลง สักวัน เป็นเพลงรัก ก็คือเพลงที่เหมือนพยายามทำให้คนมารักเรา แต่ถ้ามองด้านชีวิต สักวัน คือเพลงที่บอกว่าผมพยายามทำให้ทุกคนในโซเชียลมีเดีย ทุกคนทั้งโลกมารักผมให้ได้ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก แม้ว่าเราจะพยายามด้วยวิธีไหน

 

สิ่งที่ผมต้องการบอกคือ ผมไม่ได้อยากอ่อนแอ ผมแค่อยากให้คนเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น แต่สุดท้ายในเพลงนี้ก็จบที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เราพยายามมาเยอะจนรู้สึกไม่อยากพยายามแล้ว 

 

 

อย่างเช่น ความพยายามเพื่อที่ว่า “สักวันฉันจะไม่ต้องเอาใจใคร” 

ทุกวันนี้ผมพยายามเอาใจทุกคนเลย คนนี้อยากให้ผมเป็นแบบนั้น คนนั้นอยากทำให้ผมทำเพลงแบบนี้ คนนั้นอยากให้เต้น ผมเอาใจทุกคนจนลืมไปว่าตัวตนจริงๆ เราต้องการอะไร 

 

“สักวันฉันจะยิ้มเหมือนอย่างใครๆ” 

ยิ้มที่หมายถึงยิ้มด้วยความรู้สึกข้างในจริงๆ ไม่ต้องฝืนยิ้มให้ใคร ถ้าลองฟังดีๆ ตีความเข้าไปลึกๆ คุณจะเห็นว่าผู้ชายคนนี้แม่งฝืนทำอะไรหลายๆ อย่างมาเยอะมาก จนมันเหนื่อยมากๆ แล้ว เพลงนี้เหมือนทั้งกึ่งให้กำลังใจและสิ้นหวังอยู่ในเพลงเดียวกัน

 

“สักวันฉันจะไม่ต้องนอนร้องไห้” 

มีบางวันที่ออกไปเจออะไรต่างๆ มากมาย ออกไปเล่นคอนเสิร์ตเจอคนเป็นพันเป็นหมื่น สุดท้ายนั่งรถกลับบ้านคนเดียว มันจะรู้สึกว่า เหี้ย ทำไมชีวิตกูเหงาขนาดนี้วะ ชั่วโมงก่อนยังมีคนร้องเพลงกูเต็มไปหมดอยู่เลย จะมีวันไหนไหมที่เรากลับมาแล้วไม่ต้องนอนร้องไห้เพราะความรู้สึกนี้ 

 

“สักวันฉันจะอยู่คนเดียวให้ได้” 

ต้องอยู่กับความรู้สึกแบบที่บอกให้ได้ ยอมรับนะว่าลงเวทีมามึงก็ตัวคนเดียวนั่นล่ะ มึงต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ ต้องเข้าใจว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ ในฐานะศิลปินมีวันที่มีความสุข มีวันที่ต้องเศร้า มึงต้องรับให้ได้แค่นั้นเอง 

 

อย่างที่บอกว่าเพลงนี้เหมือนผมเขียนไดอะรีขึ้นมาเพื่อบอกความรู้สึก แต่ไม่ได้บอกว่าผมจะทำนะ ผมไม่อยากให้ใครฟังแล้วรู้สึกแย่มากๆ อยากให้คนฟังแล้วรู้สึกว่ามีเพื่อนมากกว่า ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้ เราอยู่ด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องหาทางออกที่ไม่ดี 

 

 

สุดท้ายแล้ว ความตายเป็นเรื่องที่สวยงามไหม ในความคิดของทีเจ ณ ตอนนี้ 

เป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องยอมรับ ทุกคนเกิดมาต้องตายในวันหนึ่ง ไม่ต้องกังวลว่าใช้เวลาอีกกี่ปี หรือพรุ่งนี้จะตายหรือเปล่า เมื่อไรที่ยอมรับได้ว่าวันหนึ่งเราต้องจากไปจริงๆ เราจะใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำทุกอย่างที่อยากทำให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผมอยากบอกแค่นั้นเอง 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X