ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อนเต็มภูเขา พร้อมใจกันออกดอกชูช่อล้อแสงอาทิตย์ ดอกหญ้าสีขาวนวลถูกย้อมเป็นสีเหลืองส้มอมชมพูตามเวลาของดวงตะวัน โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนมองไกลสุดลูกตา ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ และทิวทัศน์แบบ 360 องศา ความงามเรียบร้อยง่ายที่ทำให้เราหลงรักฉากอาทิตย์อัสดง ณ ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว จ.เชียงใหม่
จากโลเคชันลับ กลายเป็นแลนมาร์กแห่งใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ ‘ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว’ ตั้งอยู่ที่บ้านขุนแปะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ไม่ไกลจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ และหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ จึงทำให้ดอยแห่งนี้มีชื่อเรียกอันแปลกหูว่า ‘บ่าโจ๊ะโข้ว’ เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า ภูเขาของกระรอกนั่นเอง
ที่บอกว่าเป็นโลเคชันลับ ก็เพราะกว่าจะได้ชื่นชมความสวยงาม ต้องผ่านเส้นทางอันแสนโหดโดยไม่สามารถขับรถยนต์ธรรมดาขึ้นไปเองได้ ต้องใช้รถโฟร์วีลของชาวบ้านซึ่งมีความชำนาญทางด้วยเท่านั้น เรานั่งหัวสั่นหัวคลอน หัวโขกกระจกบ้าง โขกกันเองบ้าง พลางคุยกันไปอย่างสนุกสนาน จนรถขับผ่านไร่กะหล่ำปลีบนดอย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินให้ถ่ายรูปสวยๆ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
จากหมู่บ้านขึ้นมาบนดอยใช้เวลาเดินทาง 50 นาที ก็ถึงที่หมาย เรายืนอยู่บนยอดดอย ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและผืนป่าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นๆ กับลมพลิ้วๆ พัดมาสัมผัสใบหน้าเบาๆ พร้อมกับดอกหญ้าปลิวไสวตามสายลม ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขึ้นมาชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชาวบ้านบอกว่าเวลา 16.00 น. กำลังดี มีเวลาให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ กับแสงละมุนๆ ก่อนจะได้ชื่นชมความอลังการของแสงสุดท้ายสีทองอร่ามที่สาดไปทั่วทั้งทุ่ง สวยคุ้มค่าเกินกว่าคำบรรยายจริงๆ บรรยากาศแบบนี้จะมีให้ชมช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น
หลายคนมุ่งหน้าขึ้นดอยบ่าโจ๊ะโข้วเพื่อชมความงามของอาทิตย์อัสดง แต่การได้ยลทะเลหมอกยามเช้าก็ดีงามไม่แพ้กัน เราแนะนำว่าควรค้างสักหนึ่งคืนเพื่อดื่มด่ำธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ซึมซับวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวดอย อ้อยอิ่งไม่ต้องเร่งรีบ ให้จังหวะชีวิตช้าลง เราเลือกพักที่ ‘บ้านไผ่โฮมสเตย์’ กระท่อมไม้หลังเล็กกลางทุ่งนา ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ ยิ่งดึกก็ยิ่งเห็นชัด เรานอนดูดาวท่ามกลางอากาศหนาวแต่รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ ไฮไลต์สุดโรแมนติกของที่นี่คือ ทางช้างเผือก ใครโชคดีได้เห็นก็กลับไปพร้อมความประทับใจไม่รู้ลืม
เช้าวันรุ่งขึ้น เรามุ่งหน้าขึ้นดอยเพื่อยลโฉมทะเลหมอกยามเช้า พร้อมแสงแรกของวันใหม่ ดอกบัวตองสีเหลืองไฉไลระหว่างทางช่วยเติมความสดชื่นสดใสในการสตาร์ทวันใหม่ได้อย่างดี อาหารเช้าถูกเตรียมพร้อมรอเรากลับมา ข้าวต้มร้อนๆ กินคู่กับไข่ต้มและผัดกะหล่ำปลี ต้องบอกเลยว่า หวาน กรอบ อร่อยมาก เก็บสดๆ ใหม่ๆ จากไร่ทุกวัน เสิร์ฟมาพร้อมกับชาเลือดมังกร ซึ่งเป็นชาขึ้นชื่อของที่นี่ เมื่ออิ่มท้องแล้วเราก็ออกเดินทางกลับ
จิบชาดูวิวไปเพลินๆ
มื้อง่ายๆ แต่อร่อยมาก
ในหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากจะมีนาข้าว ไร่กะหล่ำปลีแล้ว ชาวบ้านยังมีอาชีพปลูกไม้ดอกเมืองหนาว ก่อนกลับเราแวะชมสวนดอกมากาเร็ต สวนดอกคัตเตอร์ และที่พลาดไม่ได้ ‘สวนดอกไฮเดรนเยียขุนแปะ’ ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ด้วยเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ไฮเดรนเยียช่อใหญ่ ทั้งสีฟ้า สีม่วง สีขาว ออกดอกบานสะพรั่ง โอบล้อมด้วยวิวภูเขาสีเขียวสด ให้เราได้ถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะมุมไหนก็สวยถูกใจไปหมด จนต้องซื้อติดมือกลับบ้านมาด้วย
ดอกไฮเดรนเยียช่อใหญ่สวยๆ
สำหรับใครอยากพักที่บ้านไผ่โฮมสเตย์ เรามีข้อมูลไว้ให้ด้านล่าง แนะนำให้พักที่นี่ 2 วัน 1 คืน สำหรับคนเวลาน้อย จากนั้นลงไปแวะฮอปปิ้งคาเฟ่ในเมืองแล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ หรือถ้าคุณอยากหลบหนีผู้คน 3 วัน 2 คืน ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
หมายเหตุ: เนื่องด้วยสถานการณ์ช่วงโควิด-19 อย่าลืมตรวจสอบวันเปิด-ปิดทำการก่อนเดินทาง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
บ้านไผ่โฮมสเตย์
Address: 192 หมู่ 12 ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50240
Tel: 08 6437 5679, 08 6437 4569
Cost: เริ่มต้นที่ 500 บาท/คน (อาหาร 2 มื้อ เย็น+เช้า)
มีรถพาเที่ยวทุ่งดอกไฮเดรนเยีย, นาขั้นบันได, จุดชมวิว, น้ำตก, ไร่กะหล่ำ, ดอยผาแดง, ดอยผ้าขาวน้อย, วัดถ้ำตอง นั่งได้ 8-10 คน ราคาแต่ละสถานที่ไม่เท่ากัน
Fanpage: www.facebook.com/BannphaiHomestay
Map: