เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ในอนาคตเชื่อว่าบิตคอยน์จะยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสกุลเงินดิจิทัล และด้วยการยอมรับมากขึ้นของสถาบันและบริษัทต่างๆ ขณะเดียวกันผู้ลงทุนทั่วไปบิตคอยน์มีจุดเด่นในเรื่องของการรักษามูลค่า เพราะโดยธรรมชาติแล้วบิตคอยน์จะไม่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ด้วยปริมาณที่มีจำกัดและถูกกำหนดไว้แล้ว
ถึงจุดหนึ่งราคาของบิตคอยน์จะผันผวนลดลงและราคาเริ่มนิ่งมากขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในระยะ 10 ปีข้างหน้านี้ หลังจากที่การถือครองบิตคอยน์กระจายไปในวงกว้างมากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นอาจจะเห็นบิตคอยน์ยังคงปรับขึ้นต่อ และตามมาด้วยการขายทำกำไรของนักลงทุนที่ถือครองอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนแนวโน้มในระยะสั้น สำหรับปีนี้อาจเห็นการปรับฐานได้บ้าง แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสวิ่งขึ้นต่อได้ หลังจากที่สถาบันและภาคธุรกิจเข้ามาถือครองมากขึ้น
“ในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้อาจเห็นภาวะฟองสบู่ในบิตคอยน์ได้ หากราคายังคงวิ่งขึ้นต่อ เช่น การวิ่งไปถึงระดับ 3 ล้านบาท คงต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งภาวะฟองสบู่เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับสินทรัพย์ที่เพิ่งเกิดใหม่ และที่ผ่านมาบิตคอยน์ก็เคยผ่านช่วงฟองสบู่มาแล้วถึงสองรอบ”
เอกลาภ กล่าวต่อว่า ในแง่ของการที่บิตคอยน์จะถูกนำไปใช้เป็นเหมือนสกุลเงินทั่วไปอาจจะค่อนข้างยาก เนื่องจากการทำธุรกรรมของบิตคอยน์ค่อนข้างช้า ด้วยธรรมชาติของเทคโนโลยีบล็อกเชน
ทั้งนี้สกุลเงินดิจิทัลเกิดเป็นกระแสและเป็นที่สนใจในวงกว้างมากขึ้น หลักๆ แล้วเกิดขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญคือ
1. การเข้าสู่วงจรขาขึ้น หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมาตลาดของสกุลเงินดิจิทัลอยู่ในวงจรขาลง ซึ่งการกลับมาเป็นขาขึ้นรอบนี้มาพร้อมกับการที่สถาบันให้การยอมรับมากขึ้น ด้วยกฎหมายของหลายประเทศที่มีออกมารองรับ รวมถึงโครงสร้างของตลาดที่เริ่มมั่นคงมากขึ้น อย่างเช่น การมีศูนย์รับฝากสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ
2. การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งตามมาด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ จนส่งผลให้มูลค่าของเงินลดลง รวมถึงภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้คนเริ่มมองหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นๆ มากขึ้น
3.วิวัฒนาการของเทคโนโลยีทางการเงินและระบบการเงินโลก
ในส่วนของ Zipmex ประเทศไทย ตั้งแต่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมที่ผ่านมา มีช่วงที่ลูกค้าเข้ามาเปิดบัญชีใหม่วันละ 3 พันคน และปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาเปิดบัญชีอย่างต่ำวันละ 1 พันคน ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาเปิดบัญชีราว 60% มีอายุระหว่าง 20-35 ปี
สำหรับเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าที่จะมียอดรวม 1 แสนบัญชี จากปัจจุบันราว 2.5 หมื่นบัญชี ขณะที่มูลค่าการซื้อขายช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาถือว่าสูงที่สุดราว 3 พันล้านบาท
“ในปีนี้บริษัทจะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้าง Ecosystem ให้สมบูรณ์มากขึ้น โดยบริษัทวางแผนจะเปิดตัว ZipPay ภายในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นเหมือน Payment Gateway ให้ลูกค้าสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนา ZipLend ซึ่งเป็นบริการให้กู้ยืมระหว่างนักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ทั้งสองส่วนนี้ต้องปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย”
สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลโดยภาพรวมในประเทศ โดยเฉพาะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นราว 3.5 แสนบัญชี ขยับขึ้นมาเป็นประมาณ 5 แสนบัญชีในขณะนี้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า