วานนี้ (2 กุมภาพันธ์) องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า จำนวนประชาชนที่ถูกวินิจฉัยเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งในปี 2020 รวมอยู่ที่ 19.3 ล้านราย โดยคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะ “เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า” และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง
อังเดร อิลบาวี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของ WHO เผยข้อมูลเนื่องในวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ทั่วโลกภายในปี 2040
“มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก” อิลบาวีกล่าว พร้อมเสริมว่ากลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลางต้องแบกรับภาระนั้นหนักหน่วง ขณะจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อิลบาวีอธิบายว่า ร้อยละ 70 ของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งอยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าว โดยกลุ่มประเทศรายได้ต่ำที่มีบริการรักษาโรคมะเร็งนั้นมีอยู่ไม่ถึงร้อยละ 30 สวนทางกับกลุ่มประเทศรายได้สูงที่ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 สามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้
นอกจากนั้น กลุ่มประเทศยากจนมักตรวจพบโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายแล้ว แม้ “โรคมะเร็งหลายชนิดมีโอกาสรักษาหาย หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม” ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพการป้องกันโรคมะเร็งของกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง
อิลบาวีกล่าวด้วยว่า การไม่สามารถเข้าถึงการวินิจฉัย และการรักษาที่มีคุณภาพ และราคาไม่แพงเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีกระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผลสำรวจล่าสุดของ WHO พบว่า การระบาดใหญ่ทั่วโลกสร้างปัจจัยเชิงลบแก่การรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งของประเทศกลุ่มสำรวจกว่าร้อยละ 40 ต้องหยุดชะงักลง
อิลบาวีชี้ว่า สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เพราะผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความเสี่ยงติดเชื้อ และเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 สูงกว่า
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: สำนักข่าวซินหัว