แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสร้างความไม่แน่นนอนไปทั่วโลก แต่กลุ่มหุ้นแบรนด์ไฮเอนด์อย่าง Louis Vuitton (หุ้น LVMH), Hermès (หุ้น Hermes International) หรือแบรนด์ Gucci, Yves Saint Laurent, Balenciaga ที่อยู่ภายใต้หุ้นชื่อ Kering SA ยังเป็นขาขึ้น และกลายเป็นหุ้นที่ดันตลาดให้สูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นแบรนด์หรูยังเป็นขาขึ้นในวิกฤตคือ การใช้จ่ายของจีนที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการล็อกดาวน์ที่ทำให้คนไม่สามารถเดินทางไปยังร้านอาหารหรือท่องเที่ยว จึงเห็นการซื้อสินค้าแบรนด์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันช่วงนี้เป็นฤดูกาลในการเปิดเผยผลประกอบการด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้พุ่งขึ้นและทำสถิติใหม่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน-ธันวาคม 2563)
ยกตัวอย่าง LVMH หรือ LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE ล่าสุด (22 มกราคม 2564) ราคาอยู่ที่ 511.50 ยูโรต่อหุ้น หรือราว 18,680 บาท เพิ่มขึ้น 26% จากวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ที่อยู่ราว 405.65 ยูโร หรือราว 14,814.51 บาท โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 525.30 ยูโรต่อหุ้น หรือราว 19,184.18 บาท เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา
ขณะที่ Hermes International ราคาล่าสุด (22 มกราคม 2564) ราคาอยู่ที่ 875.60 ยูโรต่อหุ้น หรือราว 31,977.29 บาท เพิ่มขึ้น 9.25% จากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ที่อยู่ราว 801.40 ยูโรต่อหุ้น หรือราว 29,267.47 บาท โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 897.00 ยูโร หรือราว 32,758.82 บาท เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา
เมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และศักยภาพของธุรกิจในช่วงโควิด-19 จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่เป็นขาขึ้นในวิกฤตโควิด-19 เช่นกัน
Giles Rothbarth ผู้จัดการกองทุน Blackrock European Dynamic Fund กล่าวว่า เรามองว่าบริษัทแบรนด์หรูที่อยู่ในตลาดหุ้นยุโรปไม่ต่างจากหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เพราะธุรกิจของเขายังมีอำนาจในตลาดโลก และราคาหุ้นบางบริษัทในเซกเตอร์นี้ยังน่าสนใจ แม้ว่าราคาหุ้นจะขยับขึ้นแล้วก็ตาม
ขณะเดียวกันความเสี่ยงระยะต่อไปที่ต้องจับตามองคือ หากคนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติ อาจจะส่งผลให้ยอดขายสินค้าต่างๆ ปรับตัวลงสู่ช่วงปกติ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: